Tag: Writing

  • สรุปวิธีสร้างงานเขียนจาก 0 สำหรับนักออกแบบและผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียน จากหนังสือ Writing Is Not Magic, It’s Design โดย João Batalheiro Ferreira

    สรุปวิธีสร้างงานเขียนจาก 0 สำหรับนักออกแบบและผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียน จากหนังสือ Writing Is Not Magic, It’s Design โดย João Batalheiro Ferreira

    Writing Is Not Magic, It’s Design เป็นหนังสือของ João Batalheiro Ferreira ซึ่งแนะนำแนวคิดการเขียนสำหรับนักออกแบบ (designer) ซึ่งมัก “คิดเป็นภาพ” ได้ดีกว่า “คิดเป็นตัวหนังสือ”

    แม้ว่า Writing Is Not Magic, It’s Design จะถูกเขียนมาให้นักออกแบบ แต่แนวคิดในหนังสือสามารถปรับใช้ได้กับทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียนของตัวเอง โดยเฉพาะการเขียน non-fiction อย่างเขียน blog และบทความ

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุปเนื้อหาของ Writing Is Not Magic, It’s Design ใน 2 ส่วน กัน:

    1. Writing Is …: การเขียนคืออะไร?
    2. Writing Method: กรอบแนวคิดในการออกแบบงานเขียนอย่างมีประสิทธิภาพ

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. ✍️ Part I. Writing Is …
    2. 🖋️ Part II. Writing Method
      1. ⚛️ 1. Modular Writing
      2. 🪄 2. Writing Stages
        1. 🗒️ N for Note
        2. 🗺️ O for Organise
        3. ✒️ D for Draft
        4. 🔎 E for Edit
      3. 💪 Writing Method = Modular Writing + Writing Stages
    3. 🤩 Deep Noting Notion Template


    ✍️ Part I. Writing Is …

    การเขียนในมุมมองของ João สรุปได้เป็น 4 ข้อ ได้แก่:

    1. … Skill: การเขียนเป็นทักษะ นั่นคือ ทุกคนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ การเขียนได้ดีไม่จำเป็นต้องใช้พรสรรค์ แต่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกฝนอย่างมีหลักการ
    2. … Communication problem: จุดประสงค์หลักของการเขียน คือ การสื่อสารไอเดียของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน ปัญหาหลักของงานเขียนที่ขาดประสิทธิภาพเกิดจากการที่ผู้เขียนไม่สามารถสื่อสารไอเดียอย่างที่เป็นไปถึงผู้อ่านได้ ถ้าเราอยากจะสร้างงานเขียนที่มีคุณภาพ เราต้องจะแก้ปัญหาการสื่อสารให้ได้
    3. … Creative process: งานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ (creative) ดังนั้น เช่นเดียวกับงานสร้างสรรค์อื่น ๆ ในการสร้างงานเขียน เราจะต้องทำตาม creative process และเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนใน process เราจะได้ทำความรู้จักกับ process นี้ในส่วนที่สอง
    4. … Thinking: สุดท้าย การเขียนคือการคิด การที่เราจะเขียนได้ดี เราจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน และการที่เราจะคิดได้ เราจะต้องเขียนออกมา การเขียนไม่ใช่แค่การสื่อของความคิด แต่ยังเป็นเครื่องมือช่วยคิดที่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับการคิด เราจะเขียนได้ก็ต้องคิด และถ้าจะคิดได้ก็ต้องเขียน ทำให้เราไม่รู้ว่าอะไรมาก่อนกัน

    🖋️ Part II. Writing Method

    Writing method = Modular writing + Writing stages

    Writing method หรือวิธีการออกแบบงานเขียนประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่:

    1. Modular writing
    2. Writing stages

    .

    ⚛️ 1. Modular Writing

    Module คือ หน่วยย่อยซึ่งสามารถนำมาประกอบเป็นสิ่งอื่น ๆ ได้

    ยกตัวอย่างเช่น:

    1. Atom ที่ประกอบกันเป็นสิ่งมีชีวิต
    2. Lego ที่ประกอบร่างเป็นของเล่นต่าง ๆ
    3. Engine ในรถยนต์ที่ทำให้รถรุ่นต่าง ๆ สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้

    Modular writing เป็นแนวคิดในการจำแนกงานเขียนออกเป็น module หรือหน่วยย่อย ๆ ที่เราสามารถเขียนจบได้ในตัวเอง

    ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการเขียนเกี่ยวกับ design thinking เราสามารถแบ่ง module ได้แบบนี้:

    • Module 1. What design thinking is
    • Module 2. History of design thinking
    • Module 3. Examples of design thinking
    • Module 4. Case studies of design thinking

    การแบ่งงานเขียนออกเป็น module มีข้อดี คือ:

    1. Overcome blank-page anxiety: ช่วยให้เราไม่รู้สึก overwhelmed เพราะแทนที่เราจะเริ่มจะ 0 (หน้าเปล่า) ไปถึง 100 (งานเขัยนฉบับสมบูรณ์) ในคราวเดียว เราค่อย ๆ เริ่มเขียนจากทีละส่วน และต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ
    2. Ease of restructuring: เราสามารถจัดโครงสร้างของงานเขียนได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละ module จบในตัวเอง เราสามารถสลับ module ไปมาเพื่อให้เข้ากับโครงร่างที่เราต้องการได้ โดยที่เราไม่ต้องแก้ไขงานเขียนใหม่ทั้งหมด (เราแค่ต้องแก้ส่วนเชื่อม module เท่านั้น)

    การเขียนแบบ modular writing มีอยู่ 3 ขั้นตอน:

    1. แยกงานเขียนออกเป็น module แต่ละ module จะต้องมีจุดเริ่มต้น เนื้อหา และจุดจบในตัวเอง
    2. เขียนแต่ละ module
    3. ประกอบ module ให้กลายเป็นงานเขียน

    .

    🪄 2. Writing Stages

    นอกจากการแบ่งงานเขียนเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น เรายังต้องการ writing stages หรือขั้นตอนที่จะช่วยแปลงไอเดียให้กลายเป็นงานเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เพราะงานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ จึงไม่แปลกที่งานเขียนจะมีขั้นตอนการทำงานคล้ายกับ creative process ของการออกแบบ:

    WritingDesigning
    Gather informationGather information
    OutlineSketch
    DraftDesign specifications
    EditPrototyping

    จากตารางด้านบน เราสามารถสรุป writing stages ของการเขียนสามารถสรุปได้เป็น 4 ขั้นหลัก หรือ NODE ซึ่งได้แก่:

    1. N: Note
    2. O: Organise
    3. D: Draft
    4. E: Edit

    ในการเขียน เราจะต้องทำตามแต่ละ step ใน NODE แม้ว่าเราสามารถย้อนกลับไปใน step ก่อนหน้าได้ (เช่น ระหว่างที่เรากำลัง draft เราสามารถกลับไป organise ไอเดียที่เราต้องการนำเสนอได้) แต่เราไม่ควรข้าม step ได้ (เช่น edit งานเขียนก่อนที่จะ draft งานขึ้นมา) การทำเช่นนั้นจะทำให้งานเขียนเรามีรากฐานที่ไม่แข็งแรง เพราะแต่ละ step วางโครงสร้างให้กับ step ถัดไป

    .

    🗒️ N for Note

    ขั้นแรกของ NODE หรือ note หมายถึง การจัดเก็บไอเดียต่าง ๆ เพื่อให้เรามีคลังข้อมูลไว้ใช้เขียนในภายหลัง

    เพราะสมองของเราไม่ถูกออกแบบมาให้จดจำข้อมูลปริมาณมาก แต่เพื่อสร้างไอเดีย เราจึงควรมีระบบที่ช่วยเก็บไอเดียที่เกิดขึ้นจากสมอง เพื่อให้สมองได้มีพื้นที่ในการสร้างไอเดียใหม่ ๆ และไม่ปล่อยให้ไอเดียที่เกิดขึ้นสูญหายไป

    สำหรับขั้นนี้ของ NODE, João นำเสนอระบบ Deep Noting ซึ่งเป็นพัฒนามาจาก Zettelkasten ซึ่งเป็นระบบจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพในสมัยก่อน

    Deep Noting ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. กระดาษ (แนะนำให้ใช้ขนาด A7) และปากกา
    2. TXT file

    และมี 3 ขั้นตอนในการใช้งาน ได้แก่:

    1. Capture notes
    2. Review
    3. Deep notes

    โดยทั้ง 3 ขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้:

    ขั้นที่ 1. Capture notes คือ การจดข้อมูล ไอเดีย ความคิด quote ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันและรู้สึกว่าน่าสนใจลงบนกระดาษ โดยให้จด 1 ไอเดียต่อ 1 แผ่น รวมทั้งต้องโน้ตที่มาและสิ่งที่ทำให้เรานึกถึง (ถ้ามี)

    ยกตัวอย่างเช่น เราเจอ quote ที่น่าสนใจระหว่างอ่านหนังสือ เราอาจจะสร้าง capture note แบบนี้:

    “writing is easy. all you have to do is cross out the wrong words.” — mark twain. reminds of book “essentialism”

    ขั้นที่ 2. Review คือ นำ capture notes ที่เรารวบรวมได้มารีวิวทุกสัปดาห์ เพื่อเลือกเก็บไว้หรือทิ้งไป

    สำหรับ capture notes ที่เลือกเก็บไว้ เราจะปรับให้เป็น deep notes ต่อไป

    ขั้นที่ 3. Deep notes คือ capture notes ที่ถูกแปลงให้กลายเป็นข้อมูลที่เราจะเก็บเข้าคลังความรู้ของเรา โดยเราจะเก็บ deep notes ไว้ในรูปแบบ TXT files ซึ่งจัดเก็บอยู่ใน folder เดียวในคอมพิวเตอร์ของเรา

    (João แนะนำว่า เราไม่ควรแยก folder ย่อย เพราะจะทำให้เราหา TXT files ได้ยากขึ้น)

    เช่นเดียวกับ capture notes, เราจะเก็บ 1 ไอเดียต่อ 1 deep note (1 TXT file) โดย deep note จะประกอบไปด้วย 4 อย่าง ได้แก่:

    1. Idea: เราจะเขียนขยายความจาก capture note ว่าทำไมไอเดียนี้ถึงน่าสนใจ และไอเดียนี้มีความหมายกับเรายังไง
    2. Reference: ที่มาของไอเดีย (ถ้ามี เช่น อ่านจากหนังสือ X, ได้ยินจาก Y)
    3. Link to: อ้างอิงถึงไอเดียอื่น ๆ โดยใส่ชื่อ TXT file ที่เก็บไอเดียนั้นไว้ (ถ้ามี)
    4. Tags: ใส่ #hashtag เพื่อช่วยจับกลุ่มไอเดียต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (เหมือน tweet ใน X)

    ยกตัวอย่างเช่น:

    “Writing is easy. All you have to do is cross out the wrong words.”

    Good writing isn’t about being wordy. It’s as much about picking the right words as cutting out what’s not essential.

    Reference: Mark Twain

    Link to: “write drunk, edit sober”

    #writing #editing

    Note: เพื่อช่วยให้เราจัดค้นหาไอเดียได้ เราสามารถสร้าง TXT file ขึ้นมาเพื่อเก็บ #hashtag ทั้งหมดที่เราเคยสร้างไว้ได้

    ถ้าเราทำตาม Deep Noting ทุกวัน เราจะมีคลังไอเดียที่เติมโตขึ้นทุกวัน และพร้อมเป็นแหล่งข้อมูลให้เรานำไปใช้สร้างงานเขียนได้ตลอดเวลา

    .

    🗺️ O for Organise

    หลังจากที่เรามีไอเดียของตัวเองแล้ว เราจะนำไอเดียมาจัดเรียง (organise) เพื่อสร้างแผนที่ที่จะ guide เราในการร่างงานเขียน (draft) ซึ่งเราทำได้ใน 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Print: ปริ้นต์ TXT files ที่มี #hashtag ที่เราสนใจออกมา (เช่น เราต้องการเขียนเกี่ยวกับ design thinking เราจะปริ้นต์ไฟล์ที่มี #designthinking ทั้งหมด รวมทั้ง #hashtag อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น #designsprint #doublediamond)
    2. Group: จากนั้น เราจะจับไอเดียที่มีเป็นกลุ่มก้อน และตั้งชื่อให้กับกลุ่มไอเดีย (เช่น “history of design thinking”, “prototyping”, “user persona”)
    3. Organise: เราจะจัดเรียงกลุ่มไอเดียให้เป็นเรื่องราว (story) ที่เราต้องการ และตั้งไว้ในจุดที่เรามองเห็นได้ เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทางในการเขียน

    .

    ✒️ D for Draft

    ในขั้นที่ 3 ของ NODE หรือ draft เราจะเริ่มร่างงานเขียนขึ้นมา โดยในขั้นนี้ เป้าหมายของเราคือการเขียนข้อมูลที่มีในหัวที่เราต้องการสื่อสารออกมาให้มากที่สุด โดยยังไม่ต้องสนใจความสวยงาม

    ในขั้นนี้ เราจะต้องทำ 2 อย่าง คือ:

    1. Elaborate: เขียนอธิบายไอเดียที่เราต้องการสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจ เพราะจนถึงตอนนี้ ไอเดียของเราอยู่ในรูปแบบการเขียนที่เราเข้าใจได้คนเดียว (deep notes)
    2. Clarify: เขียนอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างไอเดีย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไอเดียต่าง ๆ ในงานเขียน

    Draft แรกของเราจะเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้เก็บ feedback จากคนอื่น ๆ (เช่น ให้เพื่อนช่วยอ่าน) เพื่อนำมาปรับปรุงให้เป็นงานเขียนที่สมบูรณ์มากขึ้น

    .

    🔎 E for Edit

    สุดท้าย เราจะปรับแก้ (edit) ร่างงานเขียนของเรา เพื่อให้เป็นงานเขียนที่สมบูรณ์

    โดยในการแก้ไข เราสามารถทำได้ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. Structuring (what และ where): แก้ไขโครงสร้างและลำดับการนำเสนอไอเดียต่าง ๆ (เช่น เราอาจนำ module เกี่ยวกับ case study ขึ้นมาก่อน module เกี่ยวกับนิยามของ design thinking เพื่อดึงดูดผู้อ่านมากขึ้น)
    2. Revising (how): แก้ไขการสะกดคำ การเลือกใช้คำ และรูปแบบประโยค โดยการแก้ไขจะต้องทำให้การสื่อสารไอเดียเป็นไปได้อย่างกระชับ (concise) และแม่นยำ (precise) มากขึ้น ถ้าคำหรือประโยคไหนที่ไม่ทำให้เกิด 2 อย่างนี้ ให้เราเลือกปรับแก้ในทันที

    .

    โดยสรุป writing stages มีอยู่ 4 ขั้นตอน หรือ NODE ซึ่งได้แก่:

    1. Note: จัดเก็บไอเดียต่าง ๆ
    2. Organise: จัดเรียงไอเดียให้เป็นเรื่องราว
    3. Draft: ร่างงานเขียนจากเรื่องราว
    4. Edit: แก้ไขร่างให้เป็นงานฉบับสมบูรณ์

    💪 Writing Method = Modular Writing + Writing Stages

    ตอนนี้ เราเรียนรู้ modular writing และ writing stages แล้ว

    ในการเขียน เราจะใช้ทั้ง 2 อย่างรวมกันเพื่อสร้างงานเขียนอย่างมีประสิทธิภาพใน 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. แยกงานเขียนเป็น modules
    2. เขียนแต่ละ module โดยใช้ NODE
    3. ประกอบ modules เข้าด้วยกัน

    Writing method เป็นวิธีที่จะช่วยให้เราสร้างงานเขียนได้อย่างง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเริ่มเขียนบนหน้าเปล่าอีกต่อไป


    🤩 Deep Noting Notion Template

    สำหรับคนที่ต้องการระบบ Deep Noting เพื่อจัดเก็บไอเดียไว้ต่อยอดสำหรับงานเขียนและโปรเจกต์อื่น ๆ สามารถซื้อ Deep Note template ได้ที่ Notion Marketplace