Tag: Soundbites

  • สรุป 2 ประเด็นจาก StoryBrand Webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” — ทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อ และทำยังไงให้ลูกค้าซื้อ

    สรุป 2 ประเด็นจาก StoryBrand Webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” — ทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อ และทำยังไงให้ลูกค้าซื้อ

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุป 2 ประเด็นจาก webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา:

    1. Why your message fails? ทำไม marketing message ถึงไม่ทำให้ลูกค้าซื้อ
    2. The five soundbites: soundbites ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าซื้อ

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😭 Why Your Message Fails?
      1. 🧐 Don’t Be Smart, Be Clear
      2. ☕ Example
    2. 😎 The Five Soundbites
      1. 🗣️ What Is a Soundbite?
      2. 🕊️ PEACE Framework
      3. 💵 Example #1. Money App
      4. 📕 Example #2. Book
      5. 🏠 Example #3. Airbnb.org
    3. 💪 Summary
    4. 🍩 Bonus: Your Sales Pitch
    5. 📼 Webinar Videos

    😭 Why Your Message Fails?

    .

    🧐 Don’t Be Smart, Be Clear

    เหตุผลหลักที่ลูกค้าไม่ซื้อของกับเราก็เพราะ marketing message ของเราขาดความชัดเจน และทำให้ลูกค้าต้องคิด

    ถ้าเรามีป้ายโฆษณาบนทางด่วน และข้อความของเราไม่เคลียร์ ลูกค้าก็คงจะไม่จอดรถเพื่อครุ่นคิดว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อคืออะไร แต่เขาจะขับรถผ่านป้ายและลืมเราไป

    Message ที่ดีไม่จำเป็นต้องดูดี แต่ต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ในทันทีว่าเรากำลังสื่ออะไร

    .

    ☕ Example

    ยกตัวอย่างเช่น message ของคอร์สสอนทำร้านกาแฟ:

    Drowning in coffee shop chaos? Stop doing everything yourself.

    แม้ว่าการใช้คำอาจจะดูดี แต่คนอ่านจะมีคำถามในใจ เช่น:

    • “Coffee shop chaos” คืออะไร? เป็นความวุ่นวายแบบไหน? ถ้าเราเป็นร้านกาแฟที่มีลูกค้าเยอะจนเสิร์ฟไม่ทัน นับเป็น coffee shop chaos ไหม?
    • “Do everything” ที่ว่าคืออะไรบ้าง? การทำบัญชีร้านรวมด้วยไหม?

    เราสามารถปรับ message ให้ชัดเจนขึ้นได้แบบนี้:

    Losing baristas faster than you can hire? It doesn’t have to be this way.

    จะเห็นว่า message ใหม่ทำให้เราเห็นภาพชัดมากขึ้นว่า เรากำลังพูดถึงปัญหา turnover ของ barista และคอร์สนี้มีทางออกให้

    ถ้าเรากำลังมีปัญหา barista ลาออกเร็วจนหาคนแทนไม่ทัน เราจะรู้ในทันทีว่าคอร์สนี้อาจจะหมาะกับเรา

    เมื่อเราทำให้ message ชัดเจนขึ้น ยอดขายของเราก็จะเพิ่มขึ้นตามมา อย่างในตัวอย่างคอร์สทำร้านกาแฟ message แรก ได้ยอดคลิก 18 ครั้งใน 48 ชั่วโมง ในขณะที่ message ใหม่ได้ยอดคลิกสูงถึง 125 ครั้งใน 48 ชั่วโมง

    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    😎 The Five Soundbites

    .

    🗣️ What Is a Soundbite?

    นอกจากความชัดเจนแล้ว message ของเราควรสื่อสารผ่าน soundbite หรือวลี/ประโยคสั้น ๆ ที่เราสามารถพูดทวนและช่วยทำให้ลูกค้าจำเราได้ขึ้นใจ เช่น:

    • “Just do it.”
    • “Because you’re worth it.”
    • “Melts in your mouth, not in your hands.”

    .

    🕊️ PEACE Framework

    Soundbites ที่ดีจะเชื่อมโยงปัญหาของลูกค้าที่เราสามารถแก้ได้ เข้ากับ product/service ที่เรามี เพื่อช่วยให้ลูกค้านึกถึงเราเวลาเขามีปัญหา

    เราสามารถสร้าง soundbites ที่มีประสิทธิภาพได้โดยใช้ 5-soundbite framework หรือ PEACE framework ซึ่งประกอบด้วย:

    1. Problem: ปัญหาที่ลูกค้ามีและเราสามารถแก้ได้
    2. Empathy: แสดงความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้าต่อปัญหาที่มี
    3. Answer: นำเสนอทางออกของปัญหา (product/service ของเรา)
    4. Change: การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าได้ใช้ product/service ของเรา
    5. End result: ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อใช้ product/service ของเราแล้ว
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    💵 Example #1. Money App

    PEACE เป็นเหมือนบันไดหน้าบ้านที่เราชวนให้ลูกค้าเข้าก้าวขึ้นมาเพื่อทำความรู้จักเรามากขึ้นและซื้อของกับเราในที่สุด

    เราสามารถใช้ PEACE เพื่อสื่อสารกับลูกค้าได้แบบนี้ เช่น message ของ YNAB ที่เป็นแอปจัดการการเงิน:

    1. Problem: Has there ever been a time when you’ve worried about money?
    2. Empathy: We know how that feels.
    3. Answer: Download the YNAB app …
    4. Change: … and get good with money.
    5. End result: So that you never worry about money again.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    📕 Example #2. Book

    ตัวอย่าง message ของหนังสือการสร้างธุรกิจ:

    1. Problem: You want to know the principles that allow you to build an enduring business.
    2. Empathy: It’s hard to build a business that lasts.
    3. Answer: There are 41 principles it takes to build an enduring business.
    4. Change: You will become a principle driven leader.
    5. End result: You will build a business that can endure anything.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    🏠 Example #3. Airbnb.org

    ตัวอย่าง message ของ Airbnb.org องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาที่พักชั่วคราวให้กับผู้ประสบภัยไฟป่าในอเมริกา:

    1. Problem: When disaster strikes, many families end up in a shelter.
    2. Empathy: Airbnb.org believes families in need deserve a safe place to stay.
    3. Answer: Airbnb already has millions of homes around the world.
    4. Change: Making it unnecessary for a family to have to stay in a shelter.
    5. End result: Families can be together, safe and in a home after a disaster.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    💪 Summary

    ลูกค้าจะไม่ซื้อถ้า marketing message ของเราไม่ชัดเจนและทำให้ลูกค้าต้องคิด

    Message ที่ดีจะต้องชัดเจนและทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ในทันทีว่า เรากำลังสื่ออะไร

    เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าผ่าน 5 soundbites หรือวลี/ประโยคสั้น ๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้านึกถึงเราเมื่อเขามีปัญหาได้:

    1. Problem: ปัญหาที่ลูกค้ามีและเราสามารถแก้ได้
    2. Empathy: ความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้า
    3. Answer: product/service ของเราที่จะช่วยลูกค้าแก้ปัญหาได้
    4. Change: การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
    5. End result: ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ

    🍩 Bonus: Your Sales Pitch

    ในบางครั้ง ลูกค้าอยากจะซื้อของกับเราอยู่แล้ว แต่เขาจะยังไม่ซื้อจนกว่าเราจะถาม ซึ่งเราสามารถใช้ pattern การถามได้แบบนี้

    If you are struggling with [problem], here’s [product/service] to solve it. It’s [amount] dollars. Would you like to buy?


    📼 Webinar Videos

  • สรุป 3-Phase Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าซื้อ จาก Webinar ของ Donald Miller: “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business”

    สรุป 3-Phase Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าซื้อ จาก Webinar ของ Donald Miller: “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business”

    ในวันก่อน ผมมีโอกาสได้เข้าร่วม webinar “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business” ของ Donald Miller เจ้าของ Business Made Simple ธุรกิจที่คนทั่วไปเข้าถึงความรู้ทางธุรกิจได้มากขึ้น และช่วยให้ธุรกิจอื่นเติบโต

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุปเนื้อหาของ webinar ซึ่งพูดถึงแนวคิดและเครื่องมือ marketing ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจและทำธุรกิจกับเรา

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😘 Three Phases of a Relationship
    2. 🏡 House Analogy
      1. 🪜 Front Steps: Curiosity
      2. 🪑 Front Porch: Enlightenment
      3. 🚪 Front Door: Commitment
    3. 💪 Summary
    4. 📄 References

    😘 Three Phases of a Relationship

    Marketing เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรา (ธุรกิจ) และลูกค้า

    ความสัมพันธ์ในโลกนี้ประกอบด้วย 3 phases ได้แก่:

    1. Curiosity
    2. Enlightenment
    3. Commitment

    ยกตัวอย่างทั้ง 3 phases ในความสัมพันธ์แบบคู่รักและ marketing:

    PhaseLoveMarketing
    Curiosityสนใจในตัวอีกฝ่ายสนใจในสินค้า/บริการ
    Enlightenmentออกเดททำความรู้จักกันศึกษาเพิ่มเติม (เช่น อ่านรีวิว)
    Commitmentขอแต่งงานกดสั่งสินค้า/บริการ
    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)

    ทุกความสัมพันธ์จะต้องก้าวข้ามแต่ละ phase ตามลำดับ เช่น ถ้าเราอยากจะแต่งงาน เราจะขอแต่งงาน (commitment) เลยไม่ได้ แต่ต้องทำให้อีกฝ่ายสนใจ (curiosity) และทำความรู้จักกัน (enlightenment) ก่อน

    Marketing ก็เช่นกัน ถ้าเราอยากให้ลูกค้าซื้อ เราจะขอให้ลูกค้าซื้อของเลยไม่ได้ แต่เราจะต้องค่อย ๆ พาลูกค้าผ่านทีละ phase: ทำให้ลูกค้าสนใจเรา, ช่วยให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น, และขอให้ลูกค้าทำธุรกิจกับเรา

    ถ้าเราอยากให้ลูกค้าซื้อของกับเรา ในขั้นแรก เราจะต้องทำให้ลูกค้าสนใจเราให้ได้ก่อน


    🏡 House Analogy

    ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนบ้านที่เราต้องการชวนให้ลูกค้าเข้ามาอยู่ด้วย

    นั่นคือ ลูกค้าจะเข้าบ้านได้ (เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์กับเรา) จะต้องก้าวผ่าน 3 ส่วนของบ้าน:

    1. บันไดหน้าบ้าน (curiosity)
    2. ระเบียงหน้าบ้าน (enlightenment)
    3. ประตูหน้าบ้าน (commitment)
    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)

    บ้าน (marketing) ที่ดีควรจะมีทั้ง 3 ส่วน เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าถึงบ้านได้ง่าย

    ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ไม่ได้หมายความว่า ลูกค้าจะไม่ซื้อของกับเรา แต่ลูกค้าจะซื้อของกับเราได้ยากขึ้น (ลูกค้าต้องปีนขึ้นระเบียงบ้านโดยไม่มีบันได)

    (Note: การที่เรามี marketing ไม่ครบ 3 ส่วน แต่ยังมีลูกค้า ก็แสดงว่า สินค้า/บริการของเราเป็นที่ต้องการของตลาด จนขนาดลูกค้ายอมก้าวข้ามความยากลำบากในการซื้อสินค้า/บริการได้)

    .

    🪜 Front Steps: Curiosity

    ถ้าเราอยากจะปิดการขาย เราจะต้องเริ่มจากทำให้ลูกค้าหันมาสนใจและก้าวขึ้นบันไดหน้าบ้านให้ได้ก่อน

    Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจได้ คือ ทำให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้า/บริการจะทำให้เขาอยู่รอด (survive) ได้ยังไง

    ในขั้นนี้ ลูกค้ายังไม่ต้องการรู้ว่า สินค้าเรามี features อะไรบ้าง หรือบริการของเราทำอะไรได้บ้าง เขาแค่ต้องการรู้ว่า เราจะช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ยังไง เช่น:

    • ช่วยสร้างรายได้เพิ่มไหม?
    • ช่วยลดรายจ่ายหรือเปล่า?
    • ช่วยรักษาสุขภาพไหม?
    • ช่วยให้มีชื่อเสียงมากขึ้นหรือเปล่า?

    ถ้าเราสามารถทำให้ลูกค้าเห็นใจความหลักนี้ได้ เขาก็จะหันมาสนใจเรา

    เราสามารถสื่อสารใจความนี้ผ่าน 5 survival soundbites หรือข้อความสั้น ๆ ที่เราสามารถพูดทวนซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกค้าจำขึ้นใจได้ ซึ่งย่อได้สั้น ๆ ว่า PEACE ดังนี้:

    1. P: problem – ปัญหาที่ลูกค้ามี (และเราสามารถแก้ได้)
    2. E: empathy – ความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้า
    3. A: answer – คำตอบของปัญหา (นั่นคือ สินค้า/บริการของเรา)
    4. C: change – การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
    5. E: end result – ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ

    ยกตัวอย่างบริษัทขายแว่นแฟชั่นราคาถูกเพื่อตอบโจทย์แว่นแฟชั่นราคาแพง:

    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)
    1. Problem: Designer eyewear is outrageously expensive.
    2. Empathy: We know how painful it is to spend $300-500 for a pair of glasses.
    3. Answer: Get high-quality, affordable glasses delivered to your home, risk-free.
    4. Change: Don’t be one of the fools who pays too much for a pair of glasses.
    5. End result: Look great in your new glasses and still have plenty of money in the bank.

    แปลไทย:

    1. Problem: แว่นแฟชั่นมีราคาแพงเว่อร์
    2. Empathy: เรารู้ว่า มันน่าเจ็บใจขนาดไหนที่ต้องจ่ายเงิน $300-500 เพื่อแว่นอันเดียว
    3. Answer: ซื้อแว่นคุณภาพ ราคาถูก จัดส่งแบบไร้ความเสี่ยงถึงหน้าบ้าน
    4. Change: ไม่ต้องเป็นคนโง่ที่หลงจ่ายเงินซื้อแว่นราคาแพง
    5. End result: เปลี่ยน look ให้ดูดีกับแว่นใหม่ และยังมีเงินเก็บในธนาคารอีกเพียบ

    จะสังเกตว่า ทั้ง 5 soundbites ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่ชวนให้ลูกค้าหันมาสนใจได้ โดย:

    1. Problem เปิดเรื่องให้ลูกค้าอยากรู้อยากเห็น
    2. Empathy ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราเข้าใจปัญหาของเขา
    3. Answer ชี้ทางสว่างให้กับลูกค้า (เชื่อมโยงสินค้าเข้ากับปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้)
    4. Change ชวนมองสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
    5. End result วาดภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ลูกค้าเห็น

    เมื่อเราใช้ทั้ง 5 soundbites สำเร็จ ลูกค้าก็เหมือนก้าวขึ้นมาตามขั้นบันไดทั้ง 5 ขึ้นมายืนบนระเบียงหน้าบ้านของเรา

    .

    🪑 Front Porch: Enlightenment

    ถ้าลูกค้ามาอยู่บนระเบียงหน้าบ้านแล้ว แสดงว่า เขาอยากทำความรู้จักสินค้า/บริการของเราเพิ่มเติม

    หน้าที่ของเราใน phase นี้ คือ ให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจของลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้ผ่าน due diligence documents หรือเอกสาร marketing ที่เราส่งให้กับลูกค้า เช่น:

    • Lead generator: PDF ให้ความรู้ที่เปิดให้โหลดได้ฟรี
    • Social campaign: campaign ที่ชวนให้ลูกค้าโพสต์รูปสินค้า และติด hashtags ลงใน Instagram
    • Educational content: อีเมลหรือบทความให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาที่ลูกค้ามีและทางแก้ปัญหา

    หลังจากได้รับข้อมูลแล้ว และลูกค้ารู้สึกว่าสินค้า/บริการตอบโจทย์ เขาก็พร้อมที่จะก้าวผ่านประตูหน้าบ้าน

    .

    🚪 Front Door: Commitment

    ในจุดนี้ เราจะไม่ปล่อยให้ลูกค้าเดินเข้าบ้านเอง แต่จะต้องเชิญชวนให้ลูกค้าอยากก้าวเข้าไปด้วย

    การที่เราไม่มีประตูบ้าน ก็เหมือนร้านค้าที่ไม่มี cashier เก็บเงิน ลูกค้าอาจจะหยิบสินค้าใส่ตะกร้าแล้ว แต่ถ้าไม่มี cashier ลูกค้าก็จ่ายเงินซื้อของไม่ได้ และเราจะปิดการขายไม่ได้

    Marketing ที่เราจะต้องทำในจุดนี้ คือ call to action

    เหมือนกับการแต่งงาน เราจะแต่งงานกับคนที่เรารักไม่ได้ถ้าไม่ขอแต่งงานกัน การขายก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ขอให้ลูกค้าซื้อ เขาก็อาจจะไม่ซื้อของกับเรา

    ตัวอย่าง call to action ที่เราสามารถทำได้ เช่น:

    • ปุ่มสั่งซื้อบนหน้าเว็บ: “Buy now”, “Get one today”
    • ข้อความตอนหน้าสั่งซื้อ: “ส่งฟรี”, “ไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน”
    • Time-sensitive offer: โปรโมชั่นลดเวลาในช่วงเวลาที่กำหนด

    ถ้า call to action ของเราได้ผล ลูกค้าก็จะก้าวเข้ามาในบ้านของเรา ซึ่งหมายถึงเราได้พาลูกค้าผ่านมาทั้ง 3 phases ได้สำเร็จ

    ถ้าเราทำ marketing ได้ครบทั้ง 3 phases เราก็จะเห็นจำนวนลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเราทำให้ลูกค้าเข้ามาหาเราได้ง่ายขึ้น


    💪 Summary

    Marketing เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรา (ธุรกิจ) และลูกค้า และประกอบด้วย 3 phases ซึ่งเปรียบได้เหมือนหน้าบ้านของเรา:

    1. Curiosity – บันไดหน้าบ้าน
    2. Enlightenment – ระเบียงหน้าบ้าน
    3. Commitment – ประตูหน้า

    ถ้าเราต้องการปิดการขาย เราจะต้องพาลูกค้าผ่านทั้ง 3 phases โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้:

    1. Curiosity – 5 survival soundbites หรือ 5 ข้อความสั้น ๆ ที่เชื่อมสินค้า/บริการเข้ากับปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้
    2. Enlightenment – due diligence documents เช่น PDF ให้ความรู้
    3. Commitment – call to action เช่น โปรโมชั่นลดราคาในเวลาจำกัด

    เมื่อเราทำ marketing ตามกรอบแนวคิดนี้แล้ว เราจะเห็นลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าสังเกตเห็น ทำความรู้จัก และตอบรับสินค้า/บริการของเราได้ง่ายขึ้น


    📄 References