Tag: REGEXEXTRACT

  • Google Sheets Essentials: วิธีเขียน 7 กลุ่มสูตรสำคัญใน Google Sheets สำหรับงาน Data พร้อมตัวอย่างการทำงานกับข้อมูลการเงิน

    Google Sheets Essentials: วิธีเขียน 7 กลุ่มสูตรสำคัญใน Google Sheets สำหรับงาน Data พร้อมตัวอย่างการทำงานกับข้อมูลการเงิน

    Google Sheets (หรือบางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า Sheets) เป็นเครื่องมือ spreadsheet ออนไลน์ สำหรับทำงานกับข้อมูลในรูปแบบตาราง (tabular data)

    Google Sheets มีการทำงานเหมือนกับ Excel แต่มีจุดเด่น คือ:

    • ใช้งานฟรี
    • เข้าถึงจากที่ได้ก็ได้
    • ใช้ทำงานร่วมกับคนอื่นแบบ real-time ได้
    • รองรับข้อมูลจำนวนมากได้ (แม้อาจจะ lag บ้างก็ตาม)

    ด้วยเหตุนี้ Google Sheets จึงได้รับความนิยมในกลุ่มคนทำงาน โดยเฉพะาะกับคนที่ใช้ Google Workspace ในการทำงาน

    .

    ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ 7 กลุ่มสูตร Google Sheets ที่มักใช้ในการทำงาน data:

    1. Filtering and sorting: กรองและจัดเรียงข้อมูล
    2. Aggregating: สรุปข้อมูล
    3. Searching: เรียกดูข้อมูล
    4. Conditions: สร้างข้อมูลใหม่ด้วยเงื่อนไข
    5. Working with dates: สูตรทำงานกับวันที่ (date)
    6. Working with text: สูตรทำงานกับข้อความ (text)
    7. Google: สูตรเฉพาะของ Google

    .

    ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลย


    1. 💳 Dataset ตัวอย่าง: Financial Transactions Dataset
    2. 🏷️ Named Ranges
    3. 🤔 Syntax Help
    4. 🧑‍💼 Group #1 – Filtering & Sorting
      1. (1) FILTER()
      2. (2) SORT()
    5. 🧑‍💼 Group #2 – Aggregating
    6. 🧑‍💼 Group #3 – Searching
      1. (1) VLOOKUP()
      2. (2) INDEX()
      3. (3) MATCH()
      4. (4) QUERY()
    7. 🧑‍💼 Group #4 – Conditions
      1. (1) IF()
      2. (2) IFS
      3. (3) IFERROR()
    8. 🧑‍💼 Group #5 – Working With Date
      1. (1) TODAY()
      2. (2) DATEDIF()
      3. (3) NETWORKDAYS()
    9. 🧑‍💼 Group #6 – Working With Text
      1. (1) Splitting Text
      2. (2) Joining Text
      3. (3) Extracting Text
      4. (3) Regular Expression
    10. 🧑‍💼 Group #7 – Google
      1. (1) GOOGLEFINANCE()
      2. (2) GOOGLETRANSLATE()
    11. 💪 Recap

    💳 Dataset ตัวอย่าง: Financial Transactions Dataset

    มาดู dataset ที่เราจะใช้เป็นตัวอย่างกัน: Financial Transactions Dataset

    Financial Transactions Dataset เป็นข้อมูลสังเคราะห์ เลียนแบบข้อมูลทางธุรกรรมของสถาบันทางการเงิน

    Dataset ประกอบด้วย 6 columns ได้แก่:

    No.ColumnDescription
    1transaction_idรหัสการทำธุรกรรม
    2dateวันที่
    3customer_idรหัสลูกค้า
    4amountจำนวนเงิน
    5typeประเภททางธุรกิจ เช่น credit, debit, transfer
    6descriptionคำอธิบายการทำธุรกรรม

    สำหรับบทความนี้ เราจะใช้ข้อมูลแค่ 1,000 rows แรก เพื่อลดโหลดของ Google Sheets

    โดยเราจะเก็บข้อมูลนี้ไว้ใน Sheet ชื่อ Data:

    Note: สำหรับคนที่สนใจ สามารถดูตัวอย่างข้อมูลและสูตรได้ที่ Google Sheets


    🏷️ Named Ranges

    ก่อนไปดูการใช้งานสูตร Google Sheets เรามาทำความรู้จักกับ Named Ranges กันก่อน

    Named Ranges เป็น function ใน Google Sheets ที่ใช้ตั้งชื่อ (ติด tag) ข้อมูล เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน

    อย่างในกรณีของ Financial Transactions Dataset เราจะตั้งชื่อข้อมูลว่า transactions:

    ข้อดีของการใช้ Named Ranges คือ:

    เมื่อเราเรียกใช้สูตร เราสามารถใช้ชื่อที่เราตั้ง แทนช่วงข้อมูลได้เลย

    เช่น:

    • แทนที่จะเขียนว่า A1:F1001 หรือ Data!A1:F1001 ทุกครั้ง
    • เราสามารถเขียน transactions แทนได้

    วิธีใช้งาน:

    1. เลือกชุดข้อมูลที่ต้องการ (ไม่รวม column headers)

    2. ไปที่เมนู “Data” และ “Named Ranges”

    3. ในแถบเมนูด้านขวามือ ตั้งชื่อชุดข้อมูล (เช่น transactions)

    4. กด “Done” เพื่อบันทึก


    🤔 Syntax Help

    Google Sheets มีตัวช่วยในการเขียนสูตร

    ทุกครั้งที่เราพิมพ์สูตร Google Sheets จะแสดงคู่มือการใช้งานขึ้นมา

    เช่น:

    เราสามารถเรียนวิธีการเขียนสูตรได้ จากเอกสารนี้ โดยไม่ต้องออกจาก Google Sheets เลย


    🧑‍💼 Group #1 – Filtering & Sorting

    เรามาเริ่มดูกลุ่มแรกของสูตร Google Sheets กัน

    ในกลุ่มนี้ เราจะมาดู 2 สูตรสำหรับกรองและจัดเรียงข้อมูล:

    1. FILTER()
    2. SORT()

    .

    (1) FILTER()

    Usage:

    กรองข้อมูล

    Syntax:

    =FILTER(range, condition)
    • range คือ ชุดข้อมูลต้นทาง
    • condition คือ เงื่อนไขในการกรอง ซึ่งเราสามารถใส่ได้มากกว่า 1 เงื่อนไข

    Example:

    แสดงข้อมูลที่จำนวนเงินทางธุรกรรม มากกว่า 3,000:

    =FILTER(transactions, Data!D2:D > 3000)

    ผลลัพธ์:

    เราจะได้ข้อมูลทั้งหมดที่มี amount มากกว่า 3,000 สังเกตได้จาก column D (highlight สีเขียว):

    FILTER()

    .

    (2) SORT()

    Usage:

    เรียงลำดับข้อมูล

    Syntax:

    =SORT(range, sort_column, is_ascending)
    • range คือ ชุดข้อมูลต้นทาง
    • sort_column คือ column ที่ใช้ในการ sort
    • is_ascending คือ ระบุว่า จัดเรียงแบบ ascending (A-Z) หรือ descending (Z-A):
      • เติม TRUE เพื่อ sort แบบ ascending
      • เติม FALSE เพื่อ sort แบบ descending

    Example:

    เรียงข้อมูลตามจำนวนเงิน จากมากไปน้อย:

    =SORT(transactions, 4, FALSE)

    ผลลัพธ์:

    เราจะได้ข้อมูลทั้งหมดโดยเรียงตาม amount จากมากไปน้อย (column D, highlight สีเขียว):

    SORT()

    Note:

    เราสามารถใช้ FILTER() คู่กับ SORT() ได้

    เช่น แสดงข้อมูลที่มีจำนวนเงินมากกว่า 5,000 โดยเรียงจากน้อยไปมาก:

    =SORT(FILTER(transactions, Data!D2:D > 3000), 4, TRUE)

    ผลลัพธ์:

    เราจะได้ข้อมูลที่ amount มากกว่า 3,000 จัดเรียงจากน้อยที่สุดไปมากที่สุด (column D, highlight สีเขียว):

    FILTER() + SORT()

    🧑‍💼 Group #2 – Aggregating

    ในกลุ่มนี้ที่ 2 เรามาดูสูตรในการสรุปข้อมูล (aggregate) ที่มักใช้กัน:

    FormulaDescription
    COUNTA()นับจำนวนข้อมูล
    SUM()หาผลรวม
    AVERAGE()หาค่าเฉลี่ย (mean)
    MEDIAN()หาค่ากลาง
    MODE()หา value ที่ซ้ำเยอะที่สุด
    MIN()หา value ที่น้อยที่สุด
    MAX()หา value ที่มากที่สุด
    QUARTILE()หา quantile
    STDEV()หา standard deviation (SD)
    VAR()หา variance

    ตัวอย่าง:

    หาค่าสถิติของจำนวนเงินทางธุรกรรมทั้งหมด:

    Aggregate functions in Google Sheets

    Note:

    • เราจะเห็นว่า MODE() (row 9) แสดง error เนื่องจากไม่มีข้อมูลซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
    • เดี๋ยวเราจะดูวิธีจัดการค่า error ในกลุ่มที่ 7 กัน

    🧑‍💼 Group #3 – Searching

    ในกลุ่มที่ 3 เรามาดู 4 สูตรสำหรับค้นหาข้อมูลกัน:

    1. VLOOKUP()
    2. INDEX()
    3. MATCH()
    4. QUERY()

    .

    (1) VLOOKUP()

    Usage:

    VLOOKUP ย่อมาจาก:

    Vertical Lookup

    ใช้ดึงข้อมูลที่อยู่ row เดียวกับ search key (คำค้นหา)

    Syntax:

    =VLOOKUP(search_key, range, index)
    • search_key คือ value ที่เราใช้ค้นหา
    • range คือ ชุดข้อมูลที่เราต้องการเข้าไปดึงข้อมูลมา
    • index คือ column ใน range ที่เราต้องการไปดึงข้อมูลมา

    Example:

    สมมุติว่า เรามีรหัสการทำธุรกรรม 10 ตัว และเราอยากรู้ว่า:

    • แต่ละรหัสเป็นธุรกรรมประเภทไหน
    • มีจำนวนเงินเท่าไร

    เราสามารถเขียนสูตรได้แบบนี้:

    =ArrayFormula(VLOOKUP(A3:A12, transactions, 5))

    เพื่อดึงข้อมูลประเภทธุรกรรมที่อยู่ใน column ที่ 5 จากรหัสการทำธุรกรรม

    และ:

    =ArrayFormula(VLOOKUP(A3:A12, transactions, 4))

    เพื่อดึงข้อมูลจำนวนเงินที่อยู่ใน column ที่ 4 จากรหัสการทำธุรกรรม

    ผลลัพธ์:

    VLOOKUP()

    Note:

    จากตัวอย่าง จะสังเกตเห็นว่า เราใช้ ArrayFormula ช่วยในการดึงข้อมูลทั้งชุดมาแสดง ด้วยการเขียนสูตรเพียงครั้งเดียว

    การใช้ ArrayFormula มีข้อดี 2 อย่าง:

    1. ประหยัดเวลาในการทำงาน
    2. ช่วยในลดโหลดการทำงาน ทำให้ Google Sheets ทำงานได้เร็วขึ้น เนื่องจากลดการประมวลผลจากหลายสูตร เหลือสูตรเดียว

    ทั้งนี้ เราสามารถเขียนสูตรให้ Google Sheets ทำงานเร็วขึ้นอีก ด้วยการดึงข้อมูลจาก 2 columns มาแสดงในสูตรเดียว:

    =ArrayFormula(VLOOKUP(F3:F12, transactions, {5, 4}))

    จะเห็นว่า เราใส่ {5, 4} แทน 5 หรือ 4 อย่างเดียว

    ผลลัพธ์:

    VLOOKUP()

    จะเห็นว่า ผลลัพธ์ของสูตรนี้เหมือนกับผลลัพธ์ของสูตรก่อนหน้า

    .

    (2) INDEX()

    Usage:

    แสดงข้อมูลจาก cell ที่ตรงกับ index ที่เรากำหนด

    Syntax:

    =INDEX(reference, row, column)
    • reference คือ ชุดข้อมูลที่เราต้องการเข้าไปดึงข้อมูล
    • row คือ เลข index ของ row
    • column คือ เลข index ของ column

    Example:

    เราต้องการแสดงข้อมูลที่อยู่ใน:

    • row ที่ 10 (transaction_id ที่ 10)
    • column ที่ 6 (description)
    INDEX()

    เราสามารถเขียนสูตรได้ดังนี้:

    =INDEX(transactions, 10, 6)

    ผลลัพธ์:

    Google Sheets จะแสดงคำว่า “Old see watch no.” ขึ้นมา

    .

    (3) MATCH()

    Usage:

    ระบุตำแหน่งของ value ที่เราต้องการค้นหา

    Syntax:

    =MATCH(search_key, range, search_type)
    • search_key คือ value ที่เราใช้ค้นหา
    • range คือ ชุดข้อมูลที่เราต้องการเข้าไปดึงข้อมูลมา
    • search_type (optional) คือ กำหนดว่า เราต้องการค้นหาแบบตรงตัว หรือใกล้เคียง:
      • 0 คือ ตรงตัว
      • 1 คือ ใกล้เคียง

    Example:

    MATCH()

    จากตัวอย่างของ INDEX() แทนที่จะดูว่า มีข้อมูลอะไรอยู่ใน row ที่ 10 และ column ที่ 6

    เราถามคำถามกลับกัน คือ:

    “Old see watch no.” อยู่ในตำแหน่งไหนของ column F

    =MATCH("Old see watch no.", Data!F2:F, 0)

    ผลลัพธ์:

    Google Sheets จะแสดงเลข 10

    ซึ่งหมายถึง “Old see watch no.” อยู่ในลำดับที่ 10 ของ column

    Note:

    เราสามารถใช้ INDEX() และ MATCH() เพื่อทำงานคล้ายกับ VLOOKUP() ได้

    เช่น เราต้องการว่า จำนวนเงินของธุรกรรมที่เขียนว่า “Old see watch no.” มีจำนวนเท่าไร:

    =INDEX(Data!D2:D, MATCH("Old see watch no.", Data!F2:F, 0))

    ผลลัพธ์:

    เราจะได้คำตอบที่ต้องการ: 1,008.62

    .

    (4) QUERY()

    Usage:

    QUERY() เป็นสูตรเพื่อดึงข้อมูลมาแสดงได้ในรูปแบบที่ต้องการ

    Syntax:

    =QUERY(data, query)
    • data คือ ชุดข้อมูลต้นทางที่เราต้องการดึงข้อมูลมา
    • query คือ การเขียนเงื่อนไขในการดึงข้อมูล ตาม syntax ของ SQL

    Example #1:

    เราต้องการดึงข้อมูลทั้งหมด จาก transactions มาแสดง:

    =QUERY(transactions, "SELECT *")

    ผลลัพธ์:

    เราจะได้ข้อมูลทั้ง 1,000 rows และ 6 columns มาแสดง

    .

    Example #2:

    เราสามารถตีกรอบข้อมูลลง โดย:

    • ระบุเฉพาะ column ที่ต้องการ
    • จำกัดจำนวน rows ที่ดึงมาแสดง

    เช่น เลือกเฉพาะ รหัสลูกค้า และ จำนวนเงิน 10 ชุดแรกมาแสดง:

    =QUERY(transactions, "SELECT C, D LIMIT 10")

    ผลลัพธ์:

    QUERY()

    .

    Example #3:

    เราสามารถเขียน query เพื่อตอบโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้นได้

    เช่น แสดงรหัสลูกค้า 10 คนแรกที่มีจำนวนเงินทางธุรกรรมมากกว่า 5,000 ขึ้นไป พร้อมวันที่:

    =QUERY(transactions, "SELECT C, D, B WHERE D >= 5000 ORDER BY D DESC LIMIT 10")

    ผลลัพธ์:

    QUERY()

    Note: สำหรับใครที่สนใจวิธีเขียน query สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับ SQL เบื้องต้นได้ที่ SQL Crash Course จาก DataRockie


    🧑‍💼 Group #4 – Conditions

    ในกลุ่มที่ 4 เรามาดู 4 สูตรสำหรับสร้างข้อมูลใหม่ตามเงื่อนไขกัน:

    1. IF()
    2. IFS()
    3. IFERROR()

    .

    (1) IF()

    Usage:

    แสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนด (1 เงื่อนไข)

    Syntax:

    =IF(logical_expression, value_if_true, value_if_false)
    • logical_expression คือ เงื่อนไขที่เรากำหนด
    • value_if_true คือ สิ่งที่จะแสดง ถ้าข้อมูลตรงเงื่อนไข
    • value_if_false คือ สิ่งที่จะแสดง ถ้าข้อมูลไม่ตรงเงื่อนไข

    Example #1:

    ต้องการจัดกลุ่มจำนวนเงิน โดย:

    กลุ่มจำนวนเงิน
    Largeตั้งแต่ 5,000 ขึ้นไป
    Smallน้อยกว่า 5,000
    =ArrayFormula(IF(A3:A>=5000, "Large", "Small"))

    ผลลัพธ์:

    IF()

    .

    Example #2:

    เราสามารถเขียน IF() ซ้อนกันไปเรื่อย ๆ (nested IFs) เพื่อเพิ่มจำนวนเงื่อนไขได้

    เช่น แบ่งจำนวนเงินเป็น 3 กลุ่ม แทน 2 กลุ่ม:

    กลุ่มจำนวนเงิน
    Largeตั้งแต่ 5,000 ขึ้นไป
    Midตั้งแต่ 2,500 แต่น้อยกว่า 5,000
    Smallน้อยกว่า 2,500
    =ArrayFormula(IF(A3:A>=5000, "Large", IF(A3:A>=2500, "Mid", "Low")))

    ผลลัพธ์:

    Nested IF()s

    .

    (2) IFS

    Usage:

    • แสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนด (มากกว่า 1 เงื่อนไข)
    • มีค่าในการใช้งานเท่ากับการเขียน IF() แบบซ้อนกัน
    • แต่มีข้อแตกต่างที่เขียนเงื่อนไขได้ง่ายกว่า

    Example:

    ต้องการแบ่งจำนวนเงินเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้:

    กลุ่มจำนวนเงิน
    Largeตั้งแต่ 5,000 ขึ้นไป
    Midตั้งแต่ 2,500 แต่น้อยกว่า 5,000
    Smallน้อยกว่า 2,500

    แทนที่จะเขียน IF() ซ้อน ๆ กัน เราสามารถใช้ IFS() ได้แบบนี้:

    =ArrayFormula(IFS(A3:A>=5000, "Large", A3:A>=2500, "Mid", A3:A<2500, "Low"))

    ผลลัพธ์:

    IFS()

    จะสังเกตได้ว่า ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอันเดียวกับ IF() ที่เขียนซ้อนกัน

    .

    (3) IFERROR()

    Usage:

    แสดงข้อมูลในกรณีที่สูตรเกิด error

    Syntax:

    =IFERROR(value, value_if_error)
    • value คือ สูตรที่เราใช้ทำงาน และอาจจะเกิด error ได้
    • value_if_error คือ ค่าที่จะแสดงในกรณีที่เกิด error

    Example:

    สมมุติเราใช้ IFS() เพื่อจัดกลุ่มจำนวนเงิน

    แต่เราระบุแค่เงื่อนไขเดียว ทำให้ข้อมูลบางส่วนเกิด error เช่น:

    • เราระบุว่า จำนวนเงินตั้งแต่ 5,000 จัดอยู่ในกลุ่ม “Wealthy”
    • แต่เพราะเราไม่ได้กำหนดจำนวนที่น้อยกว่า 5,000 จะแสดงค่าอะไร
    Without IFERROR()

    เราสามารถใช้ IFERROR() เพื่อแสดงค่าบางอย่างแทน ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลดูมีระเบียบขึ้นได้ เช่น “-”:

    =ArrayFormula(IFERROR(IFS(A3:A>=5000, "Wealthy"), "-"))

    ผลลัพธ์:

    With IFERROR()

    🧑‍💼 Group #5 – Working With Date

    ในกลุ่มที่ 5 เรามาดู 3 สูตรที่ใช้ทำงานกับวันที่กัน:

    1. TODAY()
    2. DATEDIF()
    3. NETWORKDAYS()

    .

    (1) TODAY()

    Usage:

    แสดงวันที่ของวันนี้

    Example:

    สมมุติว่า วันนี้เป็นที่ 10 ม.ค. 2025:

    =TODAY()

    ผลลัพธ์:

    Google Sheets จะแสดง 01/10/2025

    .

    (2) DATEDIF()

    Usage:

    แสดงจำนวนวัน ระหว่าง 2 วันที่

    Example:

    หาจำนวนวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ของปี 2025 จนถึง วันนี้:

    =DATEDIF("01/01/2025", TODAY(), "D")

    ผลลัพธ์:

    Google Sheets จะแสดงจำนวนวันระหว่างวันนี้ และ วันที่ 1 ม.ค. 2025 เช่น 9

    .

    (3) NETWORKDAYS()

    Usage:

    แสดงจำนวนวันทำการ ระหว่าง 2 วันที่

    Example:

    หาจำนวนวันทำการ ตั้งแต่วันที่ 1 ของปี 2025 จนถึง วันนี้:

    =NETWORKDAYS("01/01/2025", TODAY())

    ผลลัพธ์:

    Google Sheets จะแสดงจำนวนวันทำการระหว่างวันนี้ และ วันที่ 1 ม.ค. 2025 เช่น 8


    🧑‍💼 Group #6 – Working With Text

    ในกลุ่มที่ 6 เรามาดูสูตรที่ใช้ทำงานกับ text กัน:

    1. Splitting text
      1. SPLIT()
    2. Joining text
      1. &
      2. TEXTJOIN()
    3. Extracting text
      1. LEFT()
      2. RIGHT()
      3. MID()
    4. Regular expression
      1. REGEXMATCH()
      2. REGEXEXTRACT()

    .

    (1) Splitting Text

    เราสามารถใช้ SPLIT() เพื่อแยก text ออกเป็นคำ ๆ ได้

    Syntax:

    =SPLIT(text, delimiter)
    • text คือ ข้อความที่เราต้องการจะแยก
    • delimiter คือ เครื่องหมายที่ใช้คั่นข้อความ เช่น:
      • Comma (,)
      • Dot (.)
      • Semi-colon (;)
      • Blank space
      • Tab

    Example:

    แยก description ออกเป็นคำ ๆ (โดยใช้ blank space เป็น delimiter):

    =ArrayFormula(SPLIT(F3:F, " "))

    Note: เราใช้ ArrayFormula ช่วยให้สูตรใช้งานได้กับทั้ง range

    ผลลัพธ์:

    SPLIT()

    .

    (2) Joining Text

    สูตร:

    การเชื่อม text เข้าด้วยกัน ทำได้ 2 วิธี:

    FormulaDescription
    &เชื่อม text อย่างง่าย หรือไม่มีรูปแบบตายตัว
    TEXTJOIN()เชื่อม text อย่างมีรูปแบบ เชื่อม text อย่างมีรูปแบบ (เช่น เชื่อมโดยมี , คั่น)

    Example:

    เราต้องการเชื่อมข้อมูลให้กลายเป็นประโยคว่า:

    ลูกค้าใช้เงินจำนวนเท่าไร + ประเภทอะไร + ไปกับอะไร

    =TEXTJOIN(" ", TRUE, A2&" spent "&B2, "("&C2&")", "on", "'"&D2&"'")

    ผลลัพธ์:

    & + TEXTJOIN()

    จะเห็นว่า ในตัวอย่าง เราใช้ & และ TEXTJOIN() คู่กัน:

    • ใช้ & ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว เช่น customer_id + “spent” + amount
    • ใช้ TEXTJOIN() เพื่อใส่ blank space ระหว่าง text แต่ละชุด

    Note: เราต้องเขียน TEXTJOIN() ทีละ row เอง เพราะเราไม่สามารถใช้ ArrayFormula กับ TEXTJOIN() ได้

    .

    (3) Extracting Text

    สูตร:

    เราสามารถดึง text ออกมา ได้ด้วย 3 วิธี:

    FormulaDescription
    LEFT()ดึง text โดยนับจากทางซ้าย
    RIGHT()ดึง text โดยนับจากทางขวา
    MID()ดึง text โดยเริ่มจากตรงกลาง

    Syntax:

    สำหรับ LEFT() และ RIGHT() เขียนเหมือนกัน:

    =LR(string, characters)
    • LR คือ เลือกสูตร LEFT หรือ RIGHT
    • string คือ text ต้นฉบับที่เราต้องการดึงข้อมูลออกมา
    • characters คือ จำนวนตัวอักษรที่ต้องการดึงออกมา โดยนับจากซ้ายหรือขวา ตามสูตรที่เลือก

    ส่วน MID() มีการเขียนที่ต่างออกไป:

    =MID(string, starts, characters)
    • string คือ text ต้นฉบับที่เราต้องการดึงข้อมูลออกมา
    • starts คือ ลำดับของตัวอักษรที่จะเริ่มดึง
    • characters คือ จำนวนตัวอักษรที่ต้องการดึงออกมา

    Example:

    ใช้ 3 สูตรแยก วัน เดือน ปี ออกจาก date:

    DataFormula
    Day=ArrayFormula(LEFT(A3:A7, 2))
    Month=ArrayFormula(MID(A3:A7, 4, 2))
    Year=ArrayFormula(RIGHT(A3:A7, 4))

    ผลลัพธ์:

    LEFT() vs MID() vs RIGHT()

    .

    (3) Regular Expression

    สูตร:

    Google Sheets รองรับการใช้งาน regular expression หรือ การเขียนเพื่อจับคู่รูปแบบ text

    โดย มี 2 สูตรหลักที่มักใช้งาน คือ:

    FormulaDescription
    REGEXMATCH()เช็กว่า ในชุดข้อมูลไหม มี text ที่ต้องการ
    REGEXEXTRACT()ดึง text ออกจากชุดข้อมูล

    Syntax:

    =regex(text, regular_expression)
    • regex คือ สูตร REGEXMATCH หรือ REGEXEXTRACT
    • text คือ ชุดข้อมูลที่เราต้องการเข้าไปค้นหา
    • regular_expression คือ รูปแบบ text ที่เราต้องการค้นหา

    Example:

    เราต้องการทำ 2 อย่าง:

    1. เช็กว่า แต่ละ description มีคำว่า “she” ไหม (REGEXMATCH)
    2. ดึงคำว่า “she” ออกจาก description (REGEXEXTRACT)

    เราสามารถเขียนสูตรได้ดังนี้:

    ProblemFormula
    เช็กว่า แต่ละ description มีคำว่า “she” ไหม=ArrayFormula(REGEXMATCH(A2:A, "(?i)\\bshe\\b"))
    ดึงคำว่า “she” ออกจาก description=ArrayFormula(IFERROR(REGEXEXTRACT(A2:A, "(?i)\\bshe\\b"), "NA"))

    Note: สำหรับ REGEXEXTRACT() เราใช้ IFERROR() มาชวนแทนค่าในกรณีที่ข้อมูลต้นทางไม่มีคำว่า “she”

    ผลลัพธ์:

    REGEXMATCH() vs REGEXEXTRACT()

    จากผลลัพธ์ จะเห็นได้ว่า regular expression ที่เราใช้ จะทำให้สูตรของเราสามารถใช้ได้กับ “she” ที่เป็นพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่

    Note: เราสามารถศึกษาการเขียน regular expression ทั้งหมดได้ที่ Syntax for Regular Expressions จาก Google


    🧑‍💼 Group #7 – Google

    ในกลุ่มสุดท้าย เรามาดู 2 สูตรเฉพาะของ Google กัน:

    1. GOOGLEFINANCE()
    2. GOOGLETRANSLATE()

    .

    (1) GOOGLEFINANCE()

    Usage:

    GOOGLEFINANCE() สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น:

    • แสดงราคาหุ้น
    • แปลงสกุลเงิน
    • วิเคราะห์เงินปันผล

    Syntax:

    การเขียน GOOGLEFINANCE() แตกต่างกันไปในแต่ละการใช้งาน

    เราสามารถศึกษาการเขียน GOOGLEFINANCE() ได้ที่ GOOGLEFINANCE จาก Google

    .

    (2) GOOGLETRANSLATE()

    Usage:

    แปลภาษา

    Syntax:

    =GOOGLETRANSLATE(text, source_lang, target_lang)
    • text คือ ข้อความที่เราต้องการแปลภาษา
    • source_lang คือ ภาษาของข้อความต้นทาง
    • target_lang คือ ภาษาของข้อความปลายทาง

    Example:

    เราสามารถใช้ทั้ง GOOGLEFINANCE() และ GOOGLETRANSLATE() เพื่อแปลข้อมูลจากอังกฤษเป็นไทยได้:

    FormulaDescription
    =ArrayFormula(A3:A12 * GOOGLEFINANCE("CURRENCY:USDTHB"))แปลงค่าเงินจากดอลล่าร์สหรัฐเป็นเงินบาท
    =GOOGLETRANSLATE(B3:B12, "en", "th")แปล text จากอังกฤษเป็นไทย

    Note: ArrayFormula ไม่สามารถใช้คู่กับ GOOGLETRANSLATE() ได้

    ผลลัพธ์:

    GOOGLEFINANCE() vs GOOGLETRANSLATE()

    💪 Recap

    ในบทความนี้ เราทำความรู้จักกับ 7 กลุ่มสูตร Google Sheets สำหรับทำงานกับ data กัน:

    กลุ่มที่ 1 – Filtering and sorting:

    FormulaFor
    FILTER()กรองข้อมูล
    SORT()จัดเรียงข้อมูล

    กลุ่มที่ 2 – Aggregating:

    FormulaDescription
    COUNTA()นับข้อมูล
    SUM()หาผลรวม
    AVERAGE()หาค่าเฉลี่ย
    MEDIAN()หาค่ากลาง
    MODE()หา value ที่ซ้ำเยอะที่สุด
    MIN()หา value ที่น้อยที่สุด
    MAX()หา value ที่มากที่สุด
    QUARTILE()หา quantile
    STDEV()หา SD
    VAR()หา variance

    กลุ่มที่ 3 – Searching:

    FormulaFor
    VLOOKUP()ดึงข้อมูลที่ตรงกับ index
    INDEX()ดึงข้อมูลที่ตรงกับ index
    MATCH()ระบุตัวแหน่งข้อมูล
    QUERY()ดึงข้อมูลตามเงื่อนไข

    กลุ่มที่ 4 – Conditions:

    FormulaFor
    IF()สร้างข้อมูลใหม่ ตาม 1 เงื่อนไข
    IFS()สร้างข้อมูลใหม่ ตามมากกว่า 1 เงื่อนไข
    IFERROR()สร้างข้อมูลใหม่ ถ้าเกิด error

    กลุ่มที่ 5 – Working with dates:

    FormulaFor
    TODAY()แสดงวันที่ของวันนี้
    DATEFID()แสดงจำนวนวันระหว่าง 2 วันที่
    NETWORKDAYS()แสดงจำนวนวันทำการระหว่าง 2 วันที่

    กลุ่มที่ 6 – Working with text:

    FormulaFor
    SPLIT()แยก text
    &
    TEXTJOIN()
    เชื่อม text
    LEFT()
    RIGHT()
    MID()
    ดึง text
    REGEXMATCH()
    REGEXEXTRACT()
    ทำงานกับ text โดยใช้ regular expression

    กลุ่มที่ 7 – Google:

    FormulaFor
    GOOGLEFINANCE()แปลงสกุลเงิน
    GOOGLETRANSLATE()แปลภาษา