Donald Miller เขียนหนังสือ How to Grow Your Small Business เพื่อถ่ายทอดแนวทางในการทำงานที่ช่วย “professionalise” (ทำให้เป็นมืออาชีพ) ธุรกิจของเรามากขึ้น
หลายปีก่อน แม้ว่าธุรกิจจะเป็นไปได้ดี แต่ Miller ก็รู้สึกว่า ยังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป และสิ่งนั้นทำให้ Miller รู้สึกติดกับอยู่ในธุรกิจของตัวเอง เพราะแทนที่ธุรกิจจะเติบโตได้ด้วยตัวเอง Miller ต้องคอยกำกับปฏิบัติการธุรกิจไม่ให้ “ลุกเป็นไฟ” ตลอดเวลา
จากการลองผิดลองถูก Miller ค้นพบแนวทางการทำงานที่เหมาะสมและช่วยให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องคอยกำกับทุกย่างก้าว
ในบทความนี้ เราจะมาสรุป Small Business Flight Plan หรือ 6 แนวทางการดำเนินธุรกิจจาก How to Grow Your Small Business กัน
ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย
✈️ The Airplane Model 1️⃣ Cockpit: Leadership 🧑✈️ Business on a Mission Guiding Principles 🚀 Part 1. Mission Statement 🔑 Part 2. Key Characteristics 🫡 Part 3. Critical Actions 💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles 2️⃣ Right Engine: Marketing 🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message 📖 StoryBrand 🧑 Element 1. Character ⚔️ Element 2. Problem 🧘 Element 3. Guide 🗺️ Element 4. Plan ✊ Element 5. Call to Action 🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success 💪 How to Implement StoryBrand 3️⃣ Left Engine: Sales 🦸 Customer Is the Hero Sales Framework 💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework 💡 Pro Tips 4️⃣ Wings: Product/Service 🔍 Step 1. Product Profitability Audit ⚗️ Step 2. More Profitable Products 👀 Step 3. Product Brief 5️⃣ Body: Operation & Overhead 🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook 💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple 🍎 Other Meetings 6️⃣ Fuel: Cash Flow 💸 Cash Flow Made Simple 💪 How to Implement Cash Flow Made Simple 😎 How to Implement Business Flight Plan
✈️ The Airplane Model
หน้าปกหนังสือ How to Grow Your Small Business บน Amazon
ในจุดเริ่มต้น Miller ชวนให้เรามองธุรกิจเป็นเหมือนเครื่องบิน คือ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ทำงานอย่างสอดคล้องกันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งทำงานผิดพลาด เราก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้
แม้ว่าเครื่องบิน (ธุรกิจ) จะมีส่วนประกอบต่าง ๆ มากมาย แต่เราสามารถแบ่งส่วนที่สำคัญได้เป็น 6 ส่วน ซึ่งเปรียบได้กับองค์ประกอบของธรกิจ ดังนี้:
ลำดับ เครื่องบิน ธุรกิจ 1 ห้องนักบิน Leadership 2 เครื่องยนต์ขวา Marketing 3 เครื่องยนต์ซ้าย Sales 4 ปีก Product/service 5 ตัวเครื่อง Operation และ overhead 6 น้ำมัน Cash flow
ธุรกิจ = เครื่องบิน
เพื่อให้ธุรกิจขึ้นบินและไปให้ถึงเป้าหมาย ทั้งหกส่วนนี้จะต้องทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้เครื่องบิน (ธุรกิจ) ตกจากฟ้าได้
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ได้รับเงินจากนักลงทุนและใช้สอยไปกับสำนักงาน พนักงาน และ overhead อื่น ๆ โดยไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติมกับด้านอื่น ๆ อย่าง marketing หรือ sales ทำให้เครื่องบินมีตัวเครื่องที่ใหญ่ แต่มีเครื่องยนต์และปีกที่เล็ก ทำให้ธุรกิจบินไปข้างหน้าได้อย่างทุลักทุเล
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเครื่องบินมีตัวเครื่องที่เล็ก (มี overhead น้อย) แต่มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและมีนักบินที่ดี เครื่องบินก็สามารถบินได้สูงและบินได้ไกล
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ธุรกิจไม่เพียงแต่อยู่รอดแต่ยังเติบโตด้วย นั่นก็คือ รักษาสมดุลและเพิ่มประสิทธิของขององค์ประกอบทั้งหกของธุรกิจดังนี้
1️⃣ Cockpit: Leadership
Leader หรือนักบิน เป็นส่วนสำคัญแรกของธุรกิจ เพราะเป็นคนกำหนดจุดหมายและเส้นทางการบิน
ถ้านักบินไม่มีจุดหมายหรือไม่รู้ว่าจะไปจุดหมายยังไง ก็ยากที่เครื่องบินจะบินไปถึงปลายทาง
ในทางกลับกัน ถ้านักบินมีจุดหมายที่ชัดเจนและรู้เส้นทางการบินเป็นอย่างดี เครื่องบินก็ไปถึงที่หมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน้าที่หลักของ leader คือ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวางเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นให้กับธุรกิจ
🧑✈️ Business on a Mission Guiding Principles
Business on a Mission Guiding Principles เป็นแนวคิดในการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่:
Mission Statement: ภารกิจของธุรกิจ
Key Characteristics: ลักษณะที่ทีมงานควรมี
Critical Actions: สิ่งที่ทีมงานทำได้เพื่อช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า
เราไปดูแต่ละส่วนของแต่ละส่วนกัน
🚀 Part 1. Mission Statement
Mission Statement คือ สิ่งที่สื่อถึงเป้าหมายของธุรกิจ
หลาย ๆ องค์กรมี Mission Statement ที่ฟังดูดี แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เพราะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิด action ที่ช่วยให้ธุรกิจทำภารกิจสำเร็จได้
ยกตัวอย่างเช่น “เราจะให้บริการลูกค้าด้วยความเป็นเลิศและความซื่อสัตย์” ซึ่งทำให้เกิดคำถามมากกว่า action เช่น:
ทีมจะต้องทำยังไงถึงจะได้ชื่อว่า “เป็นเลิศ” และ “ซื่อสัตย์”?
ทีมจะต้องทำอย่างนี้เมื่อไร?
เพราะอะไร?
Mission Statement ที่ใช้งานได้จริงไม่ต้องใช้คำสวยหนูหรือฟังดูดี แต่ควรมี ลักษณะ 3 อย่าง ได้แก่:
สั้น
จดจำง่าย
สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน
ถ้าทีมงานไม่สามารถจำ Mission Statement ได้ ก็ไม่มีทางที่องค์กรจะเดินไปสู่จุดหมายได้
Mission Statement ที่ดีควรเป็นเหมือน war cry ที่เราสามารถตะโกนออกไป ทำให้เกิด action ที่ผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า
Miller เสนอว่า Mission Statement ที่ดีควรประกอบด้วย 3 อย่าง ซึ่งเขียนเป็นสูตรสำเร็จได้ดังนี้:
We will accomplish X by Y because Z .
ข้อที่ 1. X หมายถึง economic priorities หรือเป้าหมายทางธุรกิจที่มีความเจาะจง วัดได้ และชัดเจน เช่น:
ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา …
ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% …
ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% …
Pro tip: เราไม่ควรกำหนด X เกิน 3 ข้อ เพราะจะทำให้ทีมงานไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่จะต้องทำจริง ๆ ได้ยากขึ้น การกำหนด 1-3 economic priorities เป็นตัวเลขที่กำลังดี
ข้อที่ 2. Y หมายถึง timeline ที่เราจะต้องการไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น:
ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี …
ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2 …
ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน …
การเพิ่มเวลาเข้าไปก็เป็นการสร้างความเร่งด่วนที่จะช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า
ข้อที่ 3. Z คือ เหตุผลที่เราต้องการที่จะได้ X ภายใน Y
คนส่วนใหญ่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่มีความสำคัญ และการกำหนด Z จะช่วยสื่อสารกับทีมงานว่า ทำไม X ถึงสำคัญ
เช่น:
ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี เพราะทุกคนควรจะมีโอกาสได้ทานอาหารอร่อย ๆ
ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2 เพราะทุกคนควรได้อ่านหนังสือดี ๆ
ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน เพราะทุกธุรกิจควรได้รับคำปรึกษาแบบมืออาชีพ
🔑 Part 2. Key Characteristics
ส่วนที่ 2 ของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Key Characteristics หรือลักษณะที่ทีมงานควรมี ซึ่งจะช่วยให้ขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ (three economic priorities)
ในการกำหนด Key Characteristics เราควรเลือกลักษณะที่:
ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหรือช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
ช่วยให้ทีมงานไม่ย่อท้อเมื่อเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค
สร้างการมีส่วนร่วมและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย
ยกตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน:
ให้คิดถึงลูกค้าก่อนเสมอ
สามารถอธิบายการลงทุนที่ซับซ้อนได้
ช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บ
🫡 Part 3. Critical Actions
ส่วนสุดท้ายของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Critical Actions ซี่งหมายถึง action ที่ทีมงานแต่ละคนสามารถทำได้ทุกวัน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมองค์กรและภายลักษณ์ของธุรกิจให้คนภายนอก
ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายขนมปัง:
เราจะชวนลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านชิมขนมอบใหม่
เราจะเช็กวันหมดอายุของทุกวัตถุดิบในครัว
เราจะทำความสะอาดที่ทำงานทุดชั่วโมง
💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles
เราสามารถกำหนด Business on a Mission Guiding Principles ได้โดยใช้ worksheet ฟรีจาก SmallBusinessFlightPlan.com :
Business on a Mission Guiding Principles Worksheet
เมื่อเรากำหนด Guiding Principles เรียบร้อยแล้ว เราสามารถนำ Guiding Principles ไปใช้ในเอกสารหรือวาระต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำเส้นทางและเป้าหมายของธุรกิจให้กับทีมงานได้
ยกตัวอย่างเช่น:
รีวิว Guiding Principles ในการประชุมพนักงานทุกสัปดาห์
เขียนติดไว้บนผนังในออฟฟิศ
ทำวิดีโอเพื่ออธิบาย Guiding Principles ให้กับพนักงานใหม่
ใส่ Guiding Principles ไว้ในเอกสารประกาศงาน
การกำหนด Guiding Principles เป็นเหมือนการเสริมประสิทธิภาพห้องนักบิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของเราบินไปข้างหน้าได้อย่างมีเป้าหมายและทิศทางมากขึ้น
2️⃣ Right Engine: Marketing
ส่วนประกอบที่ 2 ของธุรกิจ คือ marketing ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ขวาที่ขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
ถ้าเราไม่มี marketing ที่ดี ธุรกิจของเราก็จะขึ้นบินได้ยาก
Marketing เป็นเรื่องของการสร้าง brand ผ่านการสื่อสารกับลูกค้า สิ่งที่ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับธุรกิจมาจากคำที่เราใช้ brand ของเราจะถูกสร้างจากคำที่เราสื่อสารออกไป ดังนั้น เราจะต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสมเพื่อ marketing มีประสิทธิภาพที่สุด
🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message
ในยุคที่ทุกคนพยายามแย่งความสนใจที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจะเรียกให้คนหันมาหา brand เราได้ ถ้า marketing message ของเรามี 3 อย่างนี้:
Survive and thrive: สื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่า ธุรกิจของเราช่วยให้ลูกค้าอยู่รอดและเติบโตยังไงได้บ้าง
Simple language: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้ลูกค้าไม่ต้องตีความสารที่เราต้องการจะสื่อ
Story: สุดท้ายและอาจเรียกได้ว่าสำคัญที่สุด คือ เราจะต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านเรื่องราว เพราะมนุษย์จะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีถ้าผูกกันเป็นเรื่องราว
📖 StoryBrand
StoryBrand เป็นแนวคิดในการออกแบบ marketing message ให้เป็นเรื่องราว โดยใช้ 7 องค์ประกอบที่เรามักพบได้ในหนังหรือนิยาย ซึ่งได้แก่:
StoryBrand Seven-Part Framework (source: How to Grow Your Small Business)
Character: ตัวละครเอกของเรื่อง เช่น Luke Skywalker
Problem: ปมความขัดแย้งของเรื่อง เช่น การต่อสู้กับ Empire
Guide: คนที่จะช่วยตัวเอกแก้ปัญหา เช่น Yoda
Plan: เส้นทางการเดินทางของตัวเอก เช่น การฝึกเป็น Jedi
Call to Action: การเรียกให้ตัวเอกออก action เช่น การที่ Yoda บอกให้ Luke ออกไปต่อสู้กับ Empire
Failure: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกล้มเหลว เช่น ทุกคนจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Empire
Success: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกทำสำเร็จ เช่น ทุกคนจะเป็นอิสระจาก Empire
เราไปดูรายละเอียดและการแต่ละองค์ประกอบในการสร้าง brand กัน
🧑 Element 1. Character
Character เป็นองค์ประกอบแรกสุดในของทุกเรื่องราว หนังที่เราดูหรือนิยายที่เราอ่านเปิดเรื่องมาด้วยตัวละครเอกที่มีความต้องการอะไรบางอย่าง (เช่น ต้องการเป็นราชาโจรสลัด)
กรนำเสนอตัวเอกเป็นการเปิด story loop ในใจของผู้รับสาร และชวนให้อยากติดตามสารของเรา
ในการสร้าง brand ตัวละครเอกของเรา คือ ลูกค้าที่ต้องการแก้ปัญหาบางอย่าง
เราสามารถเปิด story loop ด้วยการสื่อสารถึงความต้องการของลูกค้าให้มีความเฉพาะเจาะจงมากที่สุด เพื่อเรียกความสนใจกลุ่มเป้าหมายของเรา
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจให้คำปรึกษาคู่แต่งงาน แทนที่จะเปิด loop อย่างกว้าง ๆ เช่น:
❌ ลูกค้าต้องการความสุขในชีวิตแต่งงาน
ควรเจาะจงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น:
✅ ลูกค้าต้องการกลับมารักกันเหมือนกับตอนแต่งงานใหม่ ๆ
ยิ่งเราระบุความต้องการได้เฉพาะเจาะจงเท่าไร เราก็ยิ่งเรียกความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้นเท่านั้น
⚔️ Element 2. Problem
หลังจากเปิด loop ด้วย Character แล้ว เราจะขยาย loop ให้กว้างขึ้นด้วยการนำเสนอ Problem หรือความขัดแย้งใน story ของเรา
Problem ทำหน้าที่เป็น hook ที่จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจ เรื่องราวที่ไม่มีความขัดแย้งจะเหมือนเรื่องที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ อย่างน่าเบื่อ
Marketing ของเราก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ใส่ความขัดแย้งเข้าไป ลูกค้าก็จะหมดความสนใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอได้
ความขัดแย้งในหนังและนิยายมักเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ตัวเอกได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น ตัวเอกต้องการแต่งงานกับคนที่หลงรัก ก็ต้องมีตัวละครอื่นหรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับคนรักได้ในทันที
สำหรับการสร้าง brand, Problem ที่เราจะใส่เข้าไปในเรื่องราว คือ ปัญหาที่ลูกค้ามีซึ่งธุรกิจของเราสามารถช่วยแก้ไขได้
เมื่อพูดถึงปัญหาที่ตรงใจ ลูกค้าก็พร้อมจะหันมารับฟังเรา
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทจัดหาพนักงาน: “หลายบริษัทหาพนักงานที่มีความสามารถและเข้ากับองค์กรไม่ได้”
🧘 Element 3. Guide
หลังจากนำเสนอตัวเอกที่มีความต้องการและอุปสรรคที่ขัดขวางความต้องการแล้ว เราพร้อมที่จะแนะนำธุรกิจของเราในฐานะ Guide
ในความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและลูกค้า เราจะต้องวางตัวเป็น Guide หรือคนที่จะนำทางตัวเอกไปสู่เป้าหมาย เพราะลูกค้าคนตัวเอกของเรื่อง
ตัวเอกของเรื่องต้องการคนที่สามารถช่วยให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ ไม่ใช่ตัวเอกอีกคนที่ต้องการอะไรบางอย่าง ดังนั้น เราไม่ควรวางตัวเป็น Hero แต่เป็น Guide ที่ดี
เราสามารถแสดงตัวเป็น Guide ที่ดี ได้ด้วยการแสดงออกถึงลักษณะ 2 อย่าง ได้แก่:
Empathy: แสดงออกว่า เราเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของลูกค้า
Authority: แสดงออกว่า เรามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้
เราสามารถแสดงออกถึง 2 ลักษณะนี้ผ่านข้อความง่าย ๆ เช่น:
Empathy: “We know how it feels like to …”
Authority: “We have helped thousands of people like you overcome …”
เมื่อเราแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เราเป็น Guide ที่เข้าใจและมีความสามารถแล้ว ลูกค้าก็จะเชื่อใจเรามากขึ้น
🗺️ Element 4. Plan
หลังจากแนะนำตัวในฐานะ Guide แล้ว เราจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ด้วยการบอก Plan หรือขั้นตอนที่ลูกค้าต้องทำเพื่อไปถึงจุดหมายที่ต้องการ
Plan ที่เราจะสื่อสารออกไปควรไม่เกิน 3-4 ขั้นตอน เพื่อลูกค้าเข้าใจและจดจำได้ง่าย
ยกตัวอย่างเช่น Plan ของเว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์:
สั่งสินค้า
ลองสินค้า
คืนสินค้าหากไม่พอดีเท้า
สั่งสินค้า
Plan จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจเป้าหมายมากขึ้น ด้วยการสร้างความชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
✊ Element 5. Call to Action
แม้ว่ามี Plan แล้ว แต่ลูกค้าก็อาจจะยังไม่กดซื้อสินค้า/บริการของเรา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าลงมือทำ เราจะต้องมี Call to Action
Call to Action ของเราควรตรงไปตรงมา และใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้
เราควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่อ้อมค้อม เช่น “Learn more” หรือ “Get started” เพราะจะทำให้เราดูขาดความมั่นใจว่า ธุรกิจเราจะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้
เราควรใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้อย่างชัดเจน เช่น:
“Buy now”
“Schedule a call”
“Call today”
เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่า เรากำลังเชิญชวนให้ลูกค้าทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success
สุดท้าย เราจะพูดถึง Failure และ Success เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
Failure หรือ Success หมายถึง การสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่า ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ถ้าไม่ซื้อ vs ซื้อสินค้า/บริการของเรา
ยกตัวอย่างเช่น:
Failure: ลูกค้าจะต้องเจอปัญหาที่มีอยู่อีกนานเท่าไร?
Success: ชีวิตของลูกค้าจะดีขึ้นยังไงบ้าง?
หลังจากสื่อสารทั้ง 7 องค์ประกอบแล้ว ลูกค้าก็มีโอกาสที่จะซื้อสินค้า/บริการของเรามากขึ้น
💪 How to Implement StoryBrand
เราสามารถสร้าง story ของเราได้ ด้วยการใช้ StoryBrand BrandScript จาก SmallBusinessFlightPlan.com :
StoryBrand BrandScript (source: How to Grow Your Small Business)
เมื่อเราได้ story ที่เราต้องการจะสื่อสารกับลูกค้าแล้ว เราสามารถนำ story ดังกล่าวไปปรับใช้กับเอกสารทาง marketing ต่าง ๆ เช่น:
Landing page
นามบัตร
โฆษณา
เพื่อช่วยให้เรื่องราวที่เราสื่อสารในทุก ๆ จุดเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน
3️⃣ Left Engine: Sales
ส่วนประกอบที่ 3 ของธุรกิจ คือ sales ซึ่งเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ซ้ายของเครื่องบิน
Sales เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจ เพราะถ้าไม่มี sales เราก็จะไม่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้
ในการสร้างเครื่องยนต์ซ้ายที่ดี เราสามารถใช้ StoryBrand เพื่อสร้างเล่าเรื่องและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเราได้
StoryBrand เมื่อปรับใช้กับ sales จะเรียกแนวคิดนี้ว่า Customer Is the Hero Sales Framework
🦸 Customer Is the Hero Sales Framework
Sales เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่า sales เป็นเรื่องของการจูงใจ โน้มน้าวใจให้ที่ไม่อยากซื้อมาซื้อกับเราให้ได้
ในจุดนี้ Miller ชวนให้เรามอง sales ใหม่
จาก:
Sales = Manipulation (บงการ)
เป็น:
Sales = Invite customers into a story
ในการขายในฉบับ Miller เราจะใช้แนวคิดเดียวกับ marketing นั่นคือ ขายผ่านเรื่องราวซึ่งมี 7 องค์ประกอบ:
Character
Problem
Guide
Plan
Call to Action
Failure
Success
โดยสิ่งที่ต่างออกไปจาก marketing คือ sales มีความยืดหยุ่นกว่า ในขณะที่ใน marketing เราสามารถสื่อสารเรื่องราวผ่านคำบนเว็บไซต์ที่คิดแล้วใช้ได้นาน ๆ ใน sales เราจะต้องสอดแทรกเรื่องราวเข้าไปในระหว่างการพูดคุยกับลูกค้า
ซึ่งถ้าเราจะทำแบบนั้นได้ เราจะต้อง “think in story” ให้เป็น
Miller ยกตัวอย่างเชฟที่รับจ้างทำอาหารตามบ้าน ถ้าเชฟไม่ได้ “คิดเป็นเรื่องราว” เมื่อมีคนถามว่าทำอาชีพอะไร เชฟอาจจะตอบว่า:
“ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ้างทำอาหารตามบ้าน”
ในทางกลับกัน ถ้าเชฟใช้เรื่องราวในการขาย:
“คุณรู้ไหมว่า ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน? หรือถ้ากินด้วยกันก็ไม่ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ็อบทำอาหารตามบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ และไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพอาหารหรือเก็บกวาดครัว”
ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า การพูดของเชฟมีองค์ประกอบของ StoryBrand เช่น:
Character: ครอบครัวที่ต้องการทานอาหารด้วยกัน
Problem: ไม่มีเวลาทานอาหารดี ๆ ด้วยกัน
Guide: เชฟส่วนตัว
ทั้งนี้ เชฟสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ ของ StoryBrand ในการพูดคุยต่อได้
เช่น Plan :
“ถ้าคุณสนใจ ขั้นตอนง่ายนิดเดียว ผมจะนัดคุยกับคุณสั้น ๆ เพื่อดูว่าคุณของทานอะไร จากนั้น ผมจะเตรียมของและไปทำอาหารให้คุณที่บ้าน และถ้าคุณอยากให้ผมไปทำอาหารให้เป็นจำ เช่น ทุกวันเสาร์ เราค่อยคุยกันว่า จะเป็นช่วยไหนดี”
Failure ที่สื่อสารผลกระทบเชิงลบที่อาจตามมา พร้อมความเร่งด่วน:
“อีกไม่กี่ปี เด็ก ๆ ก็จะโตออกไปอยู่ด้วยตัวเองแล้ว”
และ Success :
“ลูกค้าของผมได้ทานอาหารอร่อย ๆ และนั่งสบาย ๆ ทำความรู้จักคนในครอบครัวมากขึ้น นี่ขนาดว่าผมไปบ้านพวกเขาแค่ 1-2 วันจ่อสัปดาห์เองนะ”
Call to Action ที่ตรงไปตรงมา ช่วยให้ลูกค้าตอบรับหรือปฏิเสธได้:
“ตอนนี้ ผมมีเวลาช่วงเย็นวันพุธ คุณสนใจอยากจะนัดคุยกันเลยไหม?”
💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework
เพื่อช่วยให้เราคิดเป็นเรื่องราวได้ เราสามารถวางเรื่องราวที่เราจะใช้เล่าได้ก่อน
เมื่อเราร่างเรื่องราวเสร็จ ให้เรา highlight ข้อความต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า เรามีครบทั้ง 7 องค์ประกอบ:
Character: –
Problem: สีแดง 🔴
Guide: สีม่วง 🟣
Plan: สีน้ำตาล 🟤
Call to Action: สีเขียว 🟢
Failure: สีเหลือง 🟡
Success: สีน้ำเงิน 🔵
ในกรณีที่เราเห็นว่า เรื่องราวของเรามีองค์ประกอบมากเกินไป เช่น สีแดง (Problem) เยอะเกิน เราสามารถแก้ไขเนื้อเรื่องเพื่อให้มีความสมดุลมากขึ้นได้
เมื่อเขียนเสร็จ เราก็จะได้เรื่องราวสำหรับพูดคุยและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเรา
💡 Pro Tips
การขายแบบใช้ story เป็นการชวนลูกค้าเข้ามาในเรื่องราวที่เราวางไว้ เช่นเดียวกันกับผู้กำกับที่มองหานักแสดงที่เหมาะกับเนื้อเรื่อง เราจะต้องประเมินว่า ลูกค้าเหมาะกับเรื่องราวที่เรากำลังเล่าไหม
ถ้าไม่เหมาะ เราไม่ควรพยายามขายต่อ หรือพยายามไม่ให้ลูกค้าซื้อสินค้า/บริการจากเรา เพราะลูกค้าที่ไม่ fit อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากธุรกิจของเรา และในกรณีที่ลูกค้าไม่พอใจ ก็อาจจะส่งผลเสียกับ brand มากกว่าได้
ดังนั้น เราควรมองหาลูกค้าที่เหมาะกับเรื่องราวของเรา และกรองลูกค้าที่ไม่ใช่ออก
นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะขายผ่านเรื่องราว แต่ลูกค้าก็มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเรื่องราวของเรา ในกรณีที่ลูกค้าปฏิเสธ ให้เราปิดจบการขายอย่างมั่นใจ เช่น:
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณรู้จักใครที่อยากได้เชฟส่วนตัว สามารถบอกผมได้เลย”
การตอบอย่างมั่นใจจะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องปฏิเสธ และทำให้เราดูเป็นมืออาชีพอีกด้วย
4️⃣ Wings: Product/Service
ส่วนประกอบที่ 4 ของธุรกิจ คือ สินค้าและบริการ ซึ่งเปรียบเหมือนปีกเครื่องบิน
ไม่ว่าเครื่องยนต์ (marketing และ sales) จะดีแค่ไหน แต่ถ้าปีกไม่กว้างหรือแข็งแรงพอ เครื่องบินก็จะไม่สามารถขึ้นบินได้
เพื่อสร้างปีกที่แข็งแรง Miller เสนอให้เราทำตาม 3 ขั้นตอนดังนี้:
Product Profitability Audit
New profitable products
Product brief
🔍 Step 1. Product Profitability Audit
ในขั้นแรก ให้เราจัดลำดับสินค้า/บริการตามผลกำไร (profitability) ซึ่งเราคำนวณได้ง่าย ๆ จากสูตร: ราคาขาย – ต้นทุน
(เราสามารถใช้ Product Profitability Audit Worksheet ช่วยได้ ดู worksheet ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com )
Product Profitability Audit Worksheet:
Product Profitability Audit Worksheet
เมื่อทำแบบนี้แล้ว เราสามารถแบ่งสินค้า/บริการได้เป็น 2 กลุ่ม:
กลุ่มที่ทำกำไรได้ดี
กลุ่มที่ขายไม่ออก
สำหรับกลุ่มแรก ให้เราโฟกัสการขายไปเพื่อเพิ่มยอดขายจากเดิม เพราะการขายของที่ขายดีอยู่แล้วง่ายกว่าการขายของอื่น
สำหรับกลุ่มที่สอง ให้เราเลือกหยุดขายเพื่อที่เราจะได้ (1) โฟกัสกับสินค้า/บริการที่ขายดี และ (2) ไม่ต้องแบกรับต้นทุนต่อ
⚗️ Step 2. More Profitable Products
นอกจากการโฟกัสไปที่สินค้า/บริการขายดีและหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพภาพของปีกด้วยการสร้างสินค้า/บริการที่ขายดีเพิ่ม
Miller แนะนำสินค้า/บริการไว้ 6 ประเภท ได้แก่:
Making money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าสร้างรายได้เพิ่ม เช่น การให้คำปรึกษาทางการเงิน
Save money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าออมเงินหรือประหยัดเงิน
Reducing frustration: สินค้า/บริการที่สร้างความอุ่นใจ สบายใจ หรือสุขใจให้กับลูกค้า เช่น บริการดูแลสัตว์เลี้ยงเวลาเจ้าของไม่อยู่บ้าน
Gaining status: สินค้า/บริการที่สร้างฐานะให้กับลูกค้า เช่น เครื่องเพชร, นาฬิกา, รถยนต์
Creating connection: สินค้า/บริการที่สร้าง community และทำให้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้รวมตัวกัน
Offering simplicity: สินค้า/บริการที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย เช่น บริการทำความสะอาด
👀 Step 3. Product Brief
สุดท้าย ก่อนที่เราจะสร้างสินค้า/บริการใด ๆ เราจะต้องเขียน product brief หรือเอกสารที่แจกแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า/บริการ พร้อมส่งต่อ product brief ให้กับทีม เพื่อเป็นการทดสอบและพัฒนาไอเดียต่อที่จะสร้างเป็นสินค้า/บริการจริง
(ดู Product Brief Worksheet ได้ฟรีที่ SmallBusinessFlightPlan.com )
ตัวอย่าง Product Brief Worksheet:
ตัวอย่างบางส่วนของ Product Brief Worksheet
แม้การทำอย่างนี้จะทำให้การทำงานช้าลง แต่การบินไปข้างหน้าในอนาคตจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะสินค้า/บริการถูกกระบวนคิดและวิจารณ์มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เมื่อเราทำทั้ง 3 อย่าง:
Product Profitability Audit: เน้นขายสินค้า/บริการที่สร้างกำไรได้ดี และหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี
More profitability products: สร้างสินค้า/บริการที่สร้างรายได้เพิ่มเติม
Product brief: เขียนรายละเอียดสินค้า/บริการใหม่
เราก็จะทำให้ปีกของเราแข็งแรง มีแรงส่งให้ธุรกิจของเราบินไดีเร็วและไกลมากขึ้น
5️⃣ Body: Operation & Overhead
Operation และ overhead เปรีบเหมือนตัวเครื่อง และเป็นส่วนประกอบที่ 5 ของธุรกิจ
ถ้าตัวเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป เครื่องบินก็จะขึ้นบินได้ยาก
เช่นเดียวกัน ธุรกิจจะเติบโตจะได้ยาก ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้ามากเกินไป
ถ้าเราต้องการให้ธุรกิจบินได้เร็วและคล่องตัว เราจะต้องทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำได้ 2 วิธี:
วิธีที่ 1: Lay off หรือลดขนาดตัวเครื่องด้วยการปลดพนักงานออก ซึ่งสามารถส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ และความสัมพันธ์กับพนักงาน
วิธีที่ 2: เปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ
ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนให้พนักงานช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากขึ้นในขณะที่รายจ่ายยังเท่าเดิม เครื่องบินของเราจะมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นในขณะที่ตัวเครื่องยังมีขนาดเท่าเดิม ทำให้ขนาดตัวเครื่องไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เราควรใช้วิธีที่ 2 เป็นอันดับแรก และเก็บวิธีที่ 1 ไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook
Miller สร้าง Management and Productivity Made Simple Playbook ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นแรงผลักดันธุรกิจ ด้วยการจัดทัพให้พนักงานไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่าน 5 การประชุม ได้แก่:
All-Staff Meeting: ประชุมรวมพนักงาน ทุก ๆ วันแรกของสัปดาห์ เพื่อช่วยให้พนักงานโฟกัสกับ 3 economic priorities และรักษากำลังใจพนักงาน ใช้เวลา 45-60 นาที
Leadership Meeting: ประชุมผู้บริหารและหัวหน้า เพื่อสื่อสารโปรเจกต์ที่ดำเนินการอยู่ของแต่ละฝ่าย รวมทั้งอุปสรรคที่กำลังเผชิญ จัดขึ้นทุกสัปดาห์หลัง All-Staff Meeting และใช้เวลา 30-60 นาที
Department Stand-up: ประชุมทีมของแต่ละฝ่าย เพื่อกำหนดเป้าหมายงานในแต่ละวัน รวมทั้งจัดการอุปสรรคที่มี จัดขึ้น 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีต่อครั้ง
Personal Priority Speed Check: ประชุม 1 ต่อ 1 ระหว่างหัวหน้าทีมและสมาชิกทีม เพื่อเช็กการทำงานและเป้าหมายส่วนบุคคล จัดขึ้นทุก ๆ สัปดาห์ ไม่เกิน 15 นาที
Quarterly Performance Reviews: จัดขึ้นทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้สมาชิกทีมและหัวหน้าทีมได้รีวิวการทำงานกับหัวหน้าทีมแบบ 1 ต่อ 1
💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple
Miller แบ่งการใช้งาน Playbook เป็น 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:
ขั้นที่ 1. หา operator
Miller แบ่งผู้นำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่:
Artist: ผู้นำที่มุ่งเน้นการพัฒนา product
Entrepreneur: ผู้นำที่มองหาโอกาสทางธุรกิจ
Operator: ผู้นำที่ชอบวางระบบและจัดระเบียบ
Miller แนะนำว่า คนที่ช่วยทำให้เกิดการประชุมทั้งห้าควรเป็น Operator มากกว่า Artist และ Entrepreneur เพราะ Artist และ Entrepreneur จะเข้าประชุมพร้อมกับไอเดียและพาทุกคนออกทะเล แต่ Operator จะเข้าประชุมเพื่อทำให้การประชุมดำเนินไปได้ตามที่กำหนด
ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจและรู้ตัวว่า เราไม่ใช่ Operator เราควรแต่งตั้งคนที่เป็น Operator มาช่วยทำให้เกิด meetings ขึ้นแทนเรา
ขั้นที่ 2. จัดการประชุม
เมื่อได้ Operator มาแล้ว ให้เราค่อย ๆ เพิ่มประชุมทีละอย่าง โดยเราจะเพิ่มประชุมก็ต่อเมื่อทุกอย่างเริ่มดูเข้าทีเข้าทางจากประชุมก่อนหน้า
เราจะทยอยจัดประชุมตามนี้:
All-Staff Meeting
Leadership Meeting
Department Stand-up
Personal Priority Speed Check
Quarterly Performance Reviews
เพื่อทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพ ผู้รับผิดควรจะต้องเตรียมตัวมาก่อนโดยการกรอก worksheet ของแต่ละการประชุมล่วงหน้า เราสามารถดู worksheets ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com
ตัวอย่าง worksheet:
All-Staff Meeting worksheet
🍎 Other Meetings
ทั้งนี้ เราสามารถปรับเปลี่ยนการประชุมได้ตามความต้องการของธุรกิจ
เช่น ธุรกิจเรามีพนักงาน 5 คน เราสามารถรวม All-Staff Meeting กับ Leadership Meeting เข้าด้วยกันได้ และไม่ต้องมี Department Stand-up เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า จะมีงานอะไรเกิดขึ้นบ้าง
นอกจานี้ เราสามารถมีประชุมเสริม เพื่อตอบโจทย์อื่น ๆ ได้ เช่น:
Revenue meeting เพื่อรีวิวผลกำไรและทิศทางที่จะไปต่อ
War Rooms สำหรับแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจง
Leadership off-site meeting สำหรับผู้บริหารและหัวหน้าทีมได้ใช้เวลาร่วมกันนอกออฟฟิศ
คนที่รู้จักธุรกิจของเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง ดังนั้น เราสามารถออกแบบได้ว่าการประชุมแบบไหนจะให้ผลที่ดีที่สุดกับธุรกิจ
6️⃣ Fuel: Cash Flow
ส่วนสุดท้าย แต่สำคัญไม่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ คือ น้ำมัน หรือ cash flow
ไม่ว่าเครื่องยนต์จะทรงพลังหรือปีกจะแข็งแรงขนาดไหน ธุรกิจของเราจะขึ้นบินไม่ได้ถ้าไม่มี cash flow หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์
แม้ว่าธุรกิจเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในโลก แต่ธุรกิจจะดำเนินไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินสนับสนุน
การบริหารการเงินอาจไม่ใช่เรื่องที่สนุกที่สุดของการดำเนินธุรกิจ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น Miller เองดูเหมือนนักธุรกิจหลาย ๆ คนที่ชอบการหาเงินมากกว่าจัดการเงิน ดังนั้น แนวทางในการบริหารเงินของ Miller จึงเน้นความเข้าในง่ายและตอบโจทย์ได้จริง
💸 Cash Flow Made Simple
แนวคิด Cash Flow Made Simple เสนอให้เราแบ่งบัญชีออกป็น 5 บัญชี ได้แก่:
Operating Account สำหรับดำเนินธุรกิจ (เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าออฟฟิศ)
Personal Account สำหรับรับเงินเดือน
Tax Account สำหรับจ่ายภาษีธุรกิจ
Business Profit Account สำหรับเก็บกำไรจากธุรกิจ
Investment Holding Account สำหรับลงทุนต่อยอด
การใช้ทั้ง 5 บัญชีมี 5 ขั้นตอนดังนี้:
ขั้นที่ 1. เก็บเงินสำหรับใช้จ่ายทุกอย่างของธุรกิจไว้ใน Operating Account (เท่านั้น)
ขั้นที่ 2. ทุก ๆ สัปดาห์ เดือน หรือปี ให้จ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง จาก Operating Account เข้า Personal Account โดยเราควรกำหนดจำนวนเงินล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เราดึงเงินออกมามากเกินและทำให้ธุรกิจขาด cash flow
การจ่ายเงินเดือนจะทำให้เรารู้ว่า เงินไหนเป็นของเรา และเงินไหนสำหรับธุรกิจ
ขั้นที่ 3. ในกรณีที่เงินใน Operating Account เกินจำนวนที่ตั้งไว้ ให้แบ่งเงินส่วนเกินไป 2 บัญชีนี้:
ครึ่งหนึ่งไปที่ Tax Account เพื่อให้มีเงินจ่ายภาษี
ครึ่งหนึ่งไปที่ Business Profit Account เพื่อเก็บเป็นเงินสำรองในยามที่ธุรกิจขัดสน
ทั้งนี้ Miller แนะนำว่า ระดับที่เรากำหนดไว้ ควรเท่ากับค่าใช้จ่ายสูงสุดที่เราจะเจอในเดือนนั้น ๆ
เช่น เราคาดว่า จะต้องจ่ายเงินให้ supplier 500,000 บาท แสดงว่า ระดับในเดือนนั้นควรสูงกว่า 500,000 บาท เพื่อให้เรามีเงินใช้จ่ายอย่างอื่นได้ (เช่น 600,000 บาท)
ถ้าเรามีเงินเกินระดับที่กำหนด (เช่น 620,000 บาท) เราถึงจะแบ่งเงินส่วนเกินเข้า Tax Account และ Business Profit Account (บัญชีละ 20,000 / 2 = 10,000 บาท)
ขั้นที่ 4. ในกรณีที่ Business Profit Account มีเงินมากเกินระดับที่กำหนดไว้ ให้โอนเงินส่วนเกินไปยัง Investment Holding Account
ระดับที่กำหนดควรสูงกว่าระดับของ Operating Account 6 เท่า เพื่อให้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจในยามวิกฤตได้
Miller เปรียบเทียบการมีเงิน ใน Business Profit Account เหมือนกับเครื่องบินที่มีน้ำมันสำรอง ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งทำให้บินรอบสนามได้นานได้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นและเครื่องบินสามารถลงจอดได้
ในกรณีที่ธุรกิจเผชิญกับวิกฤติ เราสามารถโอนเงินจาก Business Profit Account และ Tax Account กลับไปยัง Operating Account ได้
ขั้นที่ 5. เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำอะไรกับเงินใน Investment Holding Account เช่น:
หาความสุขให้ตัวเองด้วยการซื้อรถคันใหม่
เอาเงินไปลงทุนต่อยอด เพื่อให้ได้ปันผลกลับมา เป็นรายได้ช่องทางที่สองต่อจากธุรกิจของเราเอง
การไหลของเงินใน Cash Flow Made Simple: Operating Account >> Personal Account (Owner’s Personal) + Tax (Taxes) + Business Profit Account (Business Savings) >> Investment Holding Account (Owner’s Investment)
💪 How to Implement Cash Flow Made Simple
เราสามารถเริ่มใช้ Cash Flow Made Simple ได้ใน 5 ขั้นตอนดังนี้:
เปิดบัญชีทั้งห้า
ใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจจาก Operating Account
จ่ายเงินเดือนให้ตัวเองเข้า Personal Account
กำหนดระดับของ Operating Account สำหรับโอนเงินไปยัง Tax Account และ Business Profit Account
กำหนดระดับของ Business Profit Account สำหรับโอนไป Investment Holding Account
Bonus: เราสามารถใช้ SmallBusinessFlightPlan.com เพื่อช่วยคำนวณและวางแผน cash flow ได้
😎 How to Implement Business Flight Plan
คนที่อยากใช้ Small Business Flight Plan สามารถทำได้ 3 วิธี:
ทำเองโดยใช้หนังสือ How to Grow Your Small Business เป็นคู่มือ
สมัครเรียนกับ Business Made Simple University (BusinessMadeSimple.com )
จ้าง certified coach ของ Business Made Simple (HireACoach.com )
ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน เราสามารถปรับใช้ Small Business Flight Plan ได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจเรา เพราะแต่ละธุรกิจมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และคนที่รู้จักธุรกิจเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง
หมายเหตุ:
เนื้อหาบางส่วนถูกเสริมมาจากหนังสือ และคอร์สเรียน Business Made Simple
🧠 Grow Your Knowledge
สำหรับคนที่สนใจอยากศึกษาการบินธุรกิจเพิ่มเติม สามารถซื้อหนังสือ How to Grow Your Small Business โดยคลิกด้านล่าง: