Tag: leadership

  • สรุป 2 บทเรียนจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” โดยคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ในงาน PMAT 60th: Compassion และ DEMO — 2 เครื่องมือเพื่อความสำเร็จในการพัฒนา AI solution ในองค์กร

    สรุป 2 บทเรียนจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” โดยคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ในงาน PMAT 60th: Compassion และ DEMO — 2 เครื่องมือเพื่อความสำเร็จในการพัฒนา AI solution ในองค์กร

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุปเนื้อหาจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” ของคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ผู้เชี่ยวชาญ agile leadership และ AI for future skills ในงาน PMAT 60th เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา

    โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่:

    1. Issues with AI adoption: ปัญหาการพัฒนา AI solution
    2. Compassion: เครื่องมือทำความเข้าใจคน
    3. DEMO: เครื่องมือทำความเข้าใจ process

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😭 The Issue With AI Solutions
    2. 🫂 Compassion: Tool for Understanding the People
      1. ❤️ Empathy
      2. 🫂 Compassion
      3. 🧘 How to Develop Compassion
    3. 🦾 DEMO: Tool for Understanding Process
      1. 📊 Why DEMO?
      2. 👷 What Is DEMO?
      3. 🤖 DEMO & AI Solution
      4. 📋 How to DEMO
    4. 💪 Summary
    5. 📚 Further Reading

    😭 The Issue With AI Solutions

    95% ขององค์กรล้มเหลวในการสร้าง AI solution ที่สร้างกำไรได้จริง (The GenAI Divide: State of AI in Business 2025)

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวมีอยู่ 2 ข้อ ได้แก่:

    1. People: ขาดความเข้าใจในผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง (เช่น พนักงานที่ต้องใช้ AI)
    2. Process: ขาดความเข้าใจใน process งานที่นำ AI มาประยุกต์ใช้

    ซึ่งทำให้ AI solution ที่ออกแบบไม่ตอบโจทย์คนใช้งานและไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรได้

    เราสามารถแก้ทั้ง 2 สาเหตุนี้ได้ด้วย 2 เครื่องมือนี้:

    1. Compassion: ช่วยทำความเข้าใจคน
    2. DEMO: ช่วยทำความเข้าใจ process

    🫂 Compassion: Tool for Understanding the People

    .

    ❤️ Empathy

    ถ้าเราจะเข้าใจคนอื่นได้ เราจะต้องมี empathy

    Empathy เป็นคำที่มีคนพูดถึงอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะในองค์กรที่ทำงานกับ design thinking ซึ่งใช้ empathy เป็นเครื่องมือหลักในการทำความเข้าใจปัญหาของ user เพื่อออกแบบ solution ที่ตอบโจทย์ user อย่างแท้จริง

    Empathy ยังเป็น 1 ใน 4 ลักษณะสำคัญของ leader ในยุค VUCA (volatile, uncertain, complex, ambiguous) เคียงข้างกับ problem solving, relationship management, และ motivation อีกด้วย

    Empathy เป็นสิ่งจำเป็น เพราะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของคนอื่นได้ เพราะ leader ที่ไม่มี empathy จะไม่สามารถ engage คนอื่นได้ เพราะไม่สามารถสร้าง motivation ให้กับคนอื่นได้ (Connect with Empathy, But Lead with Compassion)

    แต่ empathy อย่างเดียวอาจไม่พอ และสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือ compassion

    .

    🫂 Compassion

    ในขณะที่ empathy ช่วยให้เรารับรู้ความรู้สึกและมุมมองของคนอื่น compassion ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าถึงความรู้สึกของคนอื่น แต่ยังรวมไปถึงความต้องการที่จะช่วยคนอื่นอีกด้วย

    Compassion แปลไทยได้ว่า “กรุณา” ซึ่งหมายถึง การช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ และคำที่มักมาคู่กัน คือ “เมตตา” ซึ่งแปลว่า การทำให้คนอื่นมีความสุข (Buddhist beliefs – Edexcel)

    Empathy เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เรา connect กับคนอื่นได้ แต่ถ้าเราจะเป็น leader ที่ดี เราจะต้องมี compassion ด้วย เพราะ empathy อย่างเดียวอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้ ตามคำของ Paul Polman อดีต CEO ของ Unilever:

    If I led with empathy, I would never be able to make a single decision. Why? Because with empathy, I mirror the emotions of others, which makes it impossible to consider the greater good.”

    แปล:

    ถ้าผมนำด้วย empathy ผมจะตัดสินใจไม่ได้สักอย่าง ทำไมหรอ? เพราะ empathy ทำให้ผมรู้สึกความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งทำให้ผมคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมไม่ได้

    มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงข้อเสียของ empathy

    ในงานวิจัย ผู้เข้าร่วมถูกขอให้เลือกว่า จะลัดคิวเด็กที่ป่วยหนักคนหนึ่งเพื่อให้ได้รับการรักษาก่อนคิวไหม โดยกลุ่มหนึ่งถูกขอให้ฟังและมีความรู้สึกร่วมในขณะที่เด็กเล่าถึงความเจ็บปวดจากโรค และอีกกลุ่มถูกขอให้ฟังโดยไม่ตัดสิน

    ผู้เข้าร่วมกลุ่มแรกเลือกที่จะลัดคิวให้เด็กมากกว่าผู้เข้าร่วมในกลุ่มหลัง แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จะคัดค้าน แม้ว่าการตัดสินใจลัดคิวจะเป็นผลดีต่อเด็ก แต่ทำให้ผู้ป่วยอื่น ๆ ที่อาจต้องการการรักษามากกว่าอยู่ในอันตรายได้ (Connect with Empathy, But Lead with Compassion)

    ดังนั้น เราไม่ควรมีแต่ empathy แต่ควรมี compassion ด้วย

    .

    🧘 How to Develop Compassion

    เราสามารถพัฒนา compassion ได้ 2 วิธี:

    วิธีที่ 1. ฝึกอยู่กับปัจจุบันทั้งกายและใจ

    แม้ว่าเวลาคุยกับคนอื่น เราอาจจะคิดว่าเราฟังอยู่ แต่จริง ๆ แล้วใจเราอาจไปอยู่ที่อื่น หรือเสียงในหัวเราอาจจะดังกลบเสียงคนที่กำลังพูด

    เราสามารถฝึก compassion ได้โดยกลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราอยู่กับสิ่งที่คนอื่นกำลังพูดได้มากขึ้น

    เราสามารถฝึกอยู่กับปัจจุบันได้ผ่านการนั่งสมาธิ หรือง่ายกว่านั้น คือ การสังเกตสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา เช่น:

    • ลมหายใจเข้าออกของเรา
    • ผิวของเนื้อผ้าที่เราสวมใส่
    • แอร์หรือลมที่ตกกระทบผิวของเรา

    แค่เราฝึกสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงขณะ เราก็จะค่อย ๆ พัฒนา compassion ของเราขึ้นทีละนิด เพราะเราสามารถอยู่กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากทั้งกายและใจ

    วิธีที่ 2. ให้ AI ช่วย

    เราสามารถให้ AI ช่วยพัฒนา compassion ได้ เช่น:

    • เล่าสถานการณ์ที่เราพูดคุยกับคนอื่นให้ AI ฟัง เพื่อให้ AI ให้มุมมองใหม่ ๆ กับเรา พร้อมแนะนำวิธีแสดง compassion เพิ่มเติมได้ (Using AI to Make You a More Compassionate Leader)
    • ให้ AI ช่วย role-play กับเรา ให้เราได้ฝึก compassion เหมือนในหน้างานจริง

    🦾 DEMO: Tool for Understanding Process

    .

    📊 Why DEMO?

    ทุกองค์กรมี chart มากมายสำหรับแสดงข้อมูลต่าง ๆ เช่น flow chart สำหรับแสดงขั้นตอนการทำงานในองค์กร และ organisation chart ที่แสดงผังองค์กร

    Chart เหล่านี้ล้วนแสดงข้อมูลเป็นท่อน ๆ นั่นคือ แสดงรายละเอียดภาพย่อย แต่ขาดความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจในระดับบริหาร

    ยกตัวอย่างเช่น flow chart แสดงการเบิกจ่ายค่าเดินทางให้พนักงาน:

    ในรูป เราจะรู้ว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นก่อนพนักงานจะได้รับเงินค่าเดินทาง แต่เราไม่รู้ว่าขั้นตอนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ขององค์กรยังไงบ้าง เช่น:

    • แต่ละขั้นตอนมีใครเกี่ยวข้องบ้าง
    • มีเอกสารอะไรที่ต้องการใช้บ้าง
    • แต่ละขั้นตอนใช้เวลาเท่าไร

    ถ้าเราต้องการเห็นภาพรวมของการทำงานในองค์กร เราจะใช้ DEMO

    .

    👷 What Is DEMO?

    DEMO (ย่อมาจาก Design & Engineering Methodology for Organisations) เป็นหลักการในการออกแบบองค์กร ซึ่งมีวิธีการเขียน process ในระดับ high level ที่ช่วยให้ทำความเข้าใจและตัดสินใจได้ง่าย

    ยกตัวอย่างการเขียน process การเบิกค่าเดินทางแบบ DEMO:

    DEMO แสดง process ในรูปแบบของ transaction หรือการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ฝ่าย ได้แก่:

    1. Initiator: คนที่เริ่มการแลกเปลี่ยน (เช่น พนักงานที่ขอเบิกค่าเดินทาง)
    2. Executor: คนที่ทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างในระบบ (เช่น ฝ่ายบัญชีที่อนุมัติจ่าย)

    ในแผนภาพแบบ DEMO (เรียกว่า OCD หรือ Organisation Construction Diagram) เราจะเห็นว่า:

    1. การเบิกจ่ายเงินมีกี่ transaction (ดูจาก T01, T02, …)
    2. แต่ละ transaction มีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง
    3. แต่ละ transaction ใช้เวลาเท่าไร (ตัวเลขใต้ T0x เช่น T01 ใช้เวลา 1 วัน)

    OCD มาพร้อมกับตารางที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ transaction เช่น:

    TransactionDurationDocuments
    T01. ส่งเอกสาร1 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง, สำเนาบัตรประชาชน
    T02. อนุมัติเบิก1 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง
    T03. ส่งเรื่องเบิก2 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง
    T04. เบิกจ่าย3 วันอีเมลแจ้งการเบิกจ่าย

    เมื่อเราดู OCD และตารางประกอบกัน เราจะสามารถระบุปัญหาและจุดที่ควรแก้ไขได้ในทันที เช่น:

    1. เราตัดขั้นตอน T03 ออกได้ไหม? ให้ฝ่ายบัญชีจ่ายตรงให้พนักงานเลย
    2. ทำไม T03 ใช้เวลานาน? ลดเหลือ 1 วันได้ไหม?
    3. T01 ต้องใช้เอกสาร 3 อย่างเลยหรอ? ตัดสำเนาบัตรประชาชนออกได้หรือเปล่า?

    ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่ flow chart ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่า เราไม่สามารถตั้งคำถามเหล่านี้ได้ในทันที เพราะ flow chart ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอหรือจำเป็นต่อการตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลง process งาน

    ในทางตรงกันข้าม OCD สามารถให้ข้อมูลที่ช่วยให้เราทำความเข้าใจ process และระบุปัญหาที่ควรแก้ไขได้ในทันที

    .

    🤖 DEMO & AI Solution

    เราสามารถนำ DEMO มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ AI solution ให้เหมาะกับองค์กรได้

    ยกตัวอย่างเช่น สำหรับการเบิกค่าเดินทาง เราอาจจะอยากพัฒนา AI ขึ้นมาช่วยพนักงานยื่นเอกสารเบิกจ่าย (T01) แต่จะเห็นได้ว่า ถ้าเราทุ่มงบประมาณไปกับการพัฒนา AI ในส่วนนี้ เราจะลดภาระงานไปเพียง 1 วันเท่านั้น

    แต่ถ้าเราพัฒนา AI เพื่อมาช่วยฝ่ายบัญชีส่งต่อเอกสารให้กับฝ่ายการเงิน (T03) หรือช่วยฝ่ายการเงินตั้งจ่ายและส่งอีเมลยืนยันการจ่าย (T04) เราจะสามารถลดเวลาได้มากขึ้น เพราะทั้ง 2 จุดนี้ใช้เวลามากที่สุดในขั้นตอนทั้งหมด ถ้าเราพัฒนา AI เพื่อช่วย T03 และ T04 แล้ว เราจะลดเวลาในการทำงานลงไปกว่าครึ่งของ process ทั้งหมด (5 จาก 7 วัน)

    .

    📋 How to DEMO

    การเขียน OCD มีอยู่ 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Gather data: เก็บข้อมูล process งานจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (เช่น ฝ่ายบัญชี) โดยใช้ empathy และ compassion เพื่อช่วยให้เราเข้าใจและอยากช่วยเหลือ
    2. Categorise data: จัดกลุ่มข้อมูลได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่:
      1. Forma: วิธีการสื่อสาร (เช่น อีเมล, แบบฟอร์ม)
      2. Informa: สิ่งที่ต้องการสื่อสาร (เช่น คำขออนุมัติเบิกค่าเดินทาง)
      3. Performa: สิ่งที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ (เช่น การอนุมัติเบิก)
    3. Convert to transaction: เปลี่ยนข้อมูลให้เป็น transaction ที่มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่:
      1. Actors: initiator และ executor
      2. Documents: เอกสารที่เกี่ยวข้อง (เช่น ฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, ใบเสร็จ)
      3. Duration: ระยะเวลาที่ใช้สำหรับ transaction นั้น ๆ (เช่น 1 วัน)

    💪 Summary

    องค์กรส่วนใหญ่ล้มเหลวในการพัฒนา AI solution ให้ตอบโจทย์ เพราะขาดความเข้าใจ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. People: ความเข้าใจในคนที่เกี่ยวข้อง
    2. Process: ความเข้าใจในกระบวนการทำงานที่จะเอา AI solution เข้าไปช่วย

    เราสามารถแก้ทั้ง 2 สาเหตุนี้ได้ โดยใช้:

    1. Compassion เพื่อทำความเข้าใจคน
    2. DEMO เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการทำงาน

    📚 Further Reading

    สำหรับคนที่สนใจศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อในบทความนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ตามนี้

    Compassion:

    DEMO:

    Bonus — สรุปงาน PMAT 60th:

  • Grow Your Business: สรุป 6 ขั้นตอนในการสร้างและพัฒนาธุรกิจให้บินได้สูงและบินไกล จากหนังสือ How to Grow Your Small Business ของ Donald Miller

    Grow Your Business: สรุป 6 ขั้นตอนในการสร้างและพัฒนาธุรกิจให้บินได้สูงและบินไกล จากหนังสือ How to Grow Your Small Business ของ Donald Miller

    Donald Miller เขียนหนังสือ How to Grow Your Small Business เพื่อถ่ายทอดแนวทางในการทำงานที่ช่วย “professionalise” (ทำให้เป็นมืออาชีพ) ธุรกิจของเรามากขึ้น

    หลายปีก่อน แม้ว่าธุรกิจจะเป็นไปได้ดี แต่ Miller ก็รู้สึกว่า ยังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป และสิ่งนั้นทำให้ Miller รู้สึกติดกับอยู่ในธุรกิจของตัวเอง เพราะแทนที่ธุรกิจจะเติบโตได้ด้วยตัวเอง Miller ต้องคอยกำกับปฏิบัติการธุรกิจไม่ให้ “ลุกเป็นไฟ” ตลอดเวลา

    จากการลองผิดลองถูก Miller ค้นพบแนวทางการทำงานที่เหมาะสมและช่วยให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องคอยกำกับทุกย่างก้าว

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุป Small Business Flight Plan หรือ 6 แนวทางการดำเนินธุรกิจจาก How to Grow Your Small Business กัน

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. ✈️ The Airplane Model
    2. 1️⃣ Cockpit: Leadership
      1. 🧑‍✈️ Business on a Mission Guiding Principles
      2. 🚀 Part 1. Mission Statement
      3. 🔑 Part 2. Key Characteristics
      4. 🫡 Part 3. Critical Actions
      5. 💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles
    3. 2️⃣ Right Engine: Marketing
      1. 🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message
      2. 📖 StoryBrand
      3. 🧑 Element 1. Character
      4. ⚔️ Element 2. Problem
      5. 🧘 Element 3. Guide
      6. 🗺️ Element 4. Plan
      7. ✊ Element 5. Call to Action
      8. 🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success
      9. 💪 How to Implement StoryBrand
    4. 3️⃣ Left Engine: Sales
      1. 🦸 Customer Is the Hero Sales Framework
      2. 💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework
      3. 💡 Pro Tips
    5. 4️⃣ Wings: Product/Service
      1. 🔍 Step 1. Product Profitability Audit
      2. ⚗️ Step 2. More Profitable Products
      3. 👀 Step 3. Product Brief
    6. 5️⃣ Body: Operation & Overhead
      1. 🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook
      2. 💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple
      3. 🍎 Other Meetings
    7. 6️⃣ Fuel: Cash Flow
      1. 💸 Cash Flow Made Simple
      2. 💪 How to Implement Cash Flow Made Simple
    8. 😎 How to Implement Business Flight Plan

    ✈️ The Airplane Model

    หน้าปกหนังสือ How to Grow Your Small Business บน Amazon

    ในจุดเริ่มต้น Miller ชวนให้เรามองธุรกิจเป็นเหมือนเครื่องบิน คือ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ทำงานอย่างสอดคล้องกันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งทำงานผิดพลาด เราก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้

    แม้ว่าเครื่องบิน (ธุรกิจ) จะมีส่วนประกอบต่าง ๆ มากมาย แต่เราสามารถแบ่งส่วนที่สำคัญได้เป็น 6 ส่วน ซึ่งเปรียบได้กับองค์ประกอบของธรกิจ ดังนี้:

    ลำดับเครื่องบินธุรกิจ
    1ห้องนักบินLeadership
    2เครื่องยนต์ขวาMarketing
    3เครื่องยนต์ซ้ายSales
    4ปีกProduct/service
    5ตัวเครื่องOperation และ overhead
    6น้ำมันCash flow
    ธุรกิจ = เครื่องบิน

    เพื่อให้ธุรกิจขึ้นบินและไปให้ถึงเป้าหมาย ทั้งหกส่วนนี้จะต้องทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้เครื่องบิน (ธุรกิจ) ตกจากฟ้าได้

    ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ได้รับเงินจากนักลงทุนและใช้สอยไปกับสำนักงาน พนักงาน และ overhead อื่น ๆ โดยไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติมกับด้านอื่น ๆ อย่าง marketing หรือ sales ทำให้เครื่องบินมีตัวเครื่องที่ใหญ่ แต่มีเครื่องยนต์และปีกที่เล็ก ทำให้ธุรกิจบินไปข้างหน้าได้อย่างทุลักทุเล

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าเครื่องบินมีตัวเครื่องที่เล็ก (มี overhead น้อย) แต่มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและมีนักบินที่ดี เครื่องบินก็สามารถบินได้สูงและบินได้ไกล

    ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ธุรกิจไม่เพียงแต่อยู่รอดแต่ยังเติบโตด้วย นั่นก็คือ รักษาสมดุลและเพิ่มประสิทธิของขององค์ประกอบทั้งหกของธุรกิจดังนี้


    1️⃣ Cockpit: Leadership

    Leader หรือนักบิน เป็นส่วนสำคัญแรกของธุรกิจ เพราะเป็นคนกำหนดจุดหมายและเส้นทางการบิน

    ถ้านักบินไม่มีจุดหมายหรือไม่รู้ว่าจะไปจุดหมายยังไง ก็ยากที่เครื่องบินจะบินไปถึงปลายทาง

    ในทางกลับกัน ถ้านักบินมีจุดหมายที่ชัดเจนและรู้เส้นทางการบินเป็นอย่างดี เครื่องบินก็ไปถึงที่หมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หน้าที่หลักของ leader คือ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวางเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นให้กับธุรกิจ

    🧑‍✈️ Business on a Mission Guiding Principles

    Business on a Mission Guiding Principles เป็นแนวคิดในการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่:

    1. Mission Statement: ภารกิจของธุรกิจ
    2. Key Characteristics: ลักษณะที่ทีมงานควรมี
    3. Critical Actions: สิ่งที่ทีมงานทำได้เพื่อช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    เราไปดูแต่ละส่วนของแต่ละส่วนกัน

    🚀 Part 1. Mission Statement

    Mission Statement คือ สิ่งที่สื่อถึงเป้าหมายของธุรกิจ

    หลาย ๆ องค์กรมี Mission Statement ที่ฟังดูดี แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เพราะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิด action ที่ช่วยให้ธุรกิจทำภารกิจสำเร็จได้

    ยกตัวอย่างเช่น “เราจะให้บริการลูกค้าด้วยความเป็นเลิศและความซื่อสัตย์” ซึ่งทำให้เกิดคำถามมากกว่า action เช่น:

    • ทีมจะต้องทำยังไงถึงจะได้ชื่อว่า “เป็นเลิศ” และ “ซื่อสัตย์”?
    • ทีมจะต้องทำอย่างนี้เมื่อไร?
    • เพราะอะไร?

    Mission Statement ที่ใช้งานได้จริงไม่ต้องใช้คำสวยหนูหรือฟังดูดี แต่ควรมี ลักษณะ 3 อย่าง ได้แก่:

    1. สั้น
    2. จดจำง่าย
    3. สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน

    ถ้าทีมงานไม่สามารถจำ Mission Statement ได้ ก็ไม่มีทางที่องค์กรจะเดินไปสู่จุดหมายได้

    Mission Statement ที่ดีควรเป็นเหมือน war cry ที่เราสามารถตะโกนออกไป ทำให้เกิด action ที่ผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    Miller เสนอว่า Mission Statement ที่ดีควรประกอบด้วย 3 อย่าง ซึ่งเขียนเป็นสูตรสำเร็จได้ดังนี้:

    We will accomplish X by Y because Z.

    ข้อที่ 1. X หมายถึง economic priorities หรือเป้าหมายทางธุรกิจที่มีความเจาะจง วัดได้ และชัดเจน เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10%
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20%

    Pro tip: เราไม่ควรกำหนด X เกิน 3 ข้อ เพราะจะทำให้ทีมงานไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่จะต้องทำจริง ๆ ได้ยากขึ้น การกำหนด 1-3 economic priorities เป็นตัวเลขที่กำลังดี

    ข้อที่ 2. Y หมายถึง timeline ที่เราจะต้องการไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน

    การเพิ่มเวลาเข้าไปก็เป็นการสร้างความเร่งด่วนที่จะช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    ข้อที่ 3. Z คือ เหตุผลที่เราต้องการที่จะได้ X ภายใน Y

    คนส่วนใหญ่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่มีความสำคัญ และการกำหนด Z จะช่วยสื่อสารกับทีมงานว่า ทำไม X ถึงสำคัญ

    เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี เพราะทุกคนควรจะมีโอกาสได้ทานอาหารอร่อย ๆ
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2 เพราะทุกคนควรได้อ่านหนังสือดี ๆ
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน เพราะทุกธุรกิจควรได้รับคำปรึกษาแบบมืออาชีพ

    🔑 Part 2. Key Characteristics

    ส่วนที่ 2 ของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Key Characteristics หรือลักษณะที่ทีมงานควรมี ซึ่งจะช่วยให้ขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ (three economic priorities)

    ในการกำหนด Key Characteristics เราควรเลือกลักษณะที่:

    1. ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหรือช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
    2. ช่วยให้ทีมงานไม่ย่อท้อเมื่อเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค
    3. สร้างการมีส่วนร่วมและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย

    ยกตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน:

    1. ให้คิดถึงลูกค้าก่อนเสมอ
    2. สามารถอธิบายการลงทุนที่ซับซ้อนได้
    3. ช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บ

    🫡 Part 3. Critical Actions

    ส่วนสุดท้ายของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Critical Actions ซี่งหมายถึง action ที่ทีมงานแต่ละคนสามารถทำได้ทุกวัน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมองค์กรและภายลักษณ์ของธุรกิจให้คนภายนอก

    ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายขนมปัง:

    1. เราจะชวนลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านชิมขนมอบใหม่
    2. เราจะเช็กวันหมดอายุของทุกวัตถุดิบในครัว
    3. เราจะทำความสะอาดที่ทำงานทุดชั่วโมง

    💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles

    เราสามารถกำหนด Business on a Mission Guiding Principles ได้โดยใช้ worksheet ฟรีจาก SmallBusinessFlightPlan.com:

    Business on a Mission Guiding Principles Worksheet

    เมื่อเรากำหนด Guiding Principles เรียบร้อยแล้ว เราสามารถนำ Guiding Principles ไปใช้ในเอกสารหรือวาระต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำเส้นทางและเป้าหมายของธุรกิจให้กับทีมงานได้

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • รีวิว Guiding Principles ในการประชุมพนักงานทุกสัปดาห์
    • เขียนติดไว้บนผนังในออฟฟิศ
    • ทำวิดีโอเพื่ออธิบาย Guiding Principles ให้กับพนักงานใหม่
    • ใส่ Guiding Principles ไว้ในเอกสารประกาศงาน

    การกำหนด Guiding Principles เป็นเหมือนการเสริมประสิทธิภาพห้องนักบิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของเราบินไปข้างหน้าได้อย่างมีเป้าหมายและทิศทางมากขึ้น


    2️⃣ Right Engine: Marketing

    ส่วนประกอบที่ 2 ของธุรกิจ คือ marketing ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ขวาที่ขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า

    ถ้าเราไม่มี marketing ที่ดี ธุรกิจของเราก็จะขึ้นบินได้ยาก

    Marketing เป็นเรื่องของการสร้าง brand ผ่านการสื่อสารกับลูกค้า สิ่งที่ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับธุรกิจมาจากคำที่เราใช้ brand ของเราจะถูกสร้างจากคำที่เราสื่อสารออกไป ดังนั้น เราจะต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสมเพื่อ marketing มีประสิทธิภาพที่สุด

    🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message

    ในยุคที่ทุกคนพยายามแย่งความสนใจที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจะเรียกให้คนหันมาหา brand เราได้ ถ้า marketing message ของเรามี 3 อย่างนี้:

    1. Survive and thrive: สื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่า ธุรกิจของเราช่วยให้ลูกค้าอยู่รอดและเติบโตยังไงได้บ้าง
    2. Simple language: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้ลูกค้าไม่ต้องตีความสารที่เราต้องการจะสื่อ
    3. Story: สุดท้ายและอาจเรียกได้ว่าสำคัญที่สุด คือ เราจะต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านเรื่องราว เพราะมนุษย์จะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีถ้าผูกกันเป็นเรื่องราว

    📖 StoryBrand

    StoryBrand เป็นแนวคิดในการออกแบบ marketing message ให้เป็นเรื่องราว โดยใช้ 7 องค์ประกอบที่เรามักพบได้ในหนังหรือนิยาย ซึ่งได้แก่:

    StoryBrand Seven-Part Framework (source: How to Grow Your Small Business)
    1. Character: ตัวละครเอกของเรื่อง เช่น Luke Skywalker
    2. Problem: ปมความขัดแย้งของเรื่อง เช่น การต่อสู้กับ Empire
    3. Guide: คนที่จะช่วยตัวเอกแก้ปัญหา เช่น Yoda
    4. Plan: เส้นทางการเดินทางของตัวเอก เช่น การฝึกเป็น Jedi
    5. Call to Action: การเรียกให้ตัวเอกออก action เช่น การที่ Yoda บอกให้ Luke ออกไปต่อสู้กับ Empire
    6. Failure: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกล้มเหลว เช่น ทุกคนจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Empire
    7. Success: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกทำสำเร็จ เช่น ทุกคนจะเป็นอิสระจาก Empire

    เราไปดูรายละเอียดและการแต่ละองค์ประกอบในการสร้าง brand กัน

    🧑 Element 1. Character

    Character เป็นองค์ประกอบแรกสุดในของทุกเรื่องราว หนังที่เราดูหรือนิยายที่เราอ่านเปิดเรื่องมาด้วยตัวละครเอกที่มีความต้องการอะไรบางอย่าง (เช่น ต้องการเป็นราชาโจรสลัด)

    กรนำเสนอตัวเอกเป็นการเปิด story loop ในใจของผู้รับสาร และชวนให้อยากติดตามสารของเรา

    ในการสร้าง brand ตัวละครเอกของเรา คือ ลูกค้าที่ต้องการแก้ปัญหาบางอย่าง

    เราสามารถเปิด story loop ด้วยการสื่อสารถึงความต้องการของลูกค้าให้มีความเฉพาะเจาะจงมากที่สุด เพื่อเรียกความสนใจกลุ่มเป้าหมายของเรา

    ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจให้คำปรึกษาคู่แต่งงาน แทนที่จะเปิด loop อย่างกว้าง ๆ เช่น:

    ❌ ลูกค้าต้องการความสุขในชีวิตแต่งงาน

    ควรเจาะจงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น:

    ✅ ลูกค้าต้องการกลับมารักกันเหมือนกับตอนแต่งงานใหม่ ๆ

    ยิ่งเราระบุความต้องการได้เฉพาะเจาะจงเท่าไร เราก็ยิ่งเรียกความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้นเท่านั้น

    ⚔️ Element 2. Problem

    หลังจากเปิด loop ด้วย Character แล้ว เราจะขยาย loop ให้กว้างขึ้นด้วยการนำเสนอ Problem หรือความขัดแย้งใน story ของเรา

    Problem ทำหน้าที่เป็น hook ที่จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจ เรื่องราวที่ไม่มีความขัดแย้งจะเหมือนเรื่องที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ อย่างน่าเบื่อ

    Marketing ของเราก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ใส่ความขัดแย้งเข้าไป ลูกค้าก็จะหมดความสนใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอได้

    ความขัดแย้งในหนังและนิยายมักเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ตัวเอกได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น ตัวเอกต้องการแต่งงานกับคนที่หลงรัก ก็ต้องมีตัวละครอื่นหรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับคนรักได้ในทันที

    สำหรับการสร้าง brand, Problem ที่เราจะใส่เข้าไปในเรื่องราว คือ ปัญหาที่ลูกค้ามีซึ่งธุรกิจของเราสามารถช่วยแก้ไขได้

    เมื่อพูดถึงปัญหาที่ตรงใจ ลูกค้าก็พร้อมจะหันมารับฟังเรา

    ยกตัวอย่างเช่น บริษัทจัดหาพนักงาน: “หลายบริษัทหาพนักงานที่มีความสามารถและเข้ากับองค์กรไม่ได้”

    🧘 Element 3. Guide

    หลังจากนำเสนอตัวเอกที่มีความต้องการและอุปสรรคที่ขัดขวางความต้องการแล้ว เราพร้อมที่จะแนะนำธุรกิจของเราในฐานะ Guide

    ในความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและลูกค้า เราจะต้องวางตัวเป็น Guide หรือคนที่จะนำทางตัวเอกไปสู่เป้าหมาย เพราะลูกค้าคนตัวเอกของเรื่อง

    ตัวเอกของเรื่องต้องการคนที่สามารถช่วยให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ ไม่ใช่ตัวเอกอีกคนที่ต้องการอะไรบางอย่าง ดังนั้น เราไม่ควรวางตัวเป็น Hero แต่เป็น Guide ที่ดี

    เราสามารถแสดงตัวเป็น Guide ที่ดี ได้ด้วยการแสดงออกถึงลักษณะ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. Empathy: แสดงออกว่า เราเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของลูกค้า
    2. Authority: แสดงออกว่า เรามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้

    เราสามารถแสดงออกถึง 2 ลักษณะนี้ผ่านข้อความง่าย ๆ เช่น:

    • Empathy: “We know how it feels like to …”
    • Authority: “We have helped thousands of people like you overcome …”

    เมื่อเราแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เราเป็น Guide ที่เข้าใจและมีความสามารถแล้ว ลูกค้าก็จะเชื่อใจเรามากขึ้น

    🗺️ Element 4. Plan

    หลังจากแนะนำตัวในฐานะ Guide แล้ว เราจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ด้วยการบอก Plan หรือขั้นตอนที่ลูกค้าต้องทำเพื่อไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

    Plan ที่เราจะสื่อสารออกไปควรไม่เกิน 3-4 ขั้นตอน เพื่อลูกค้าเข้าใจและจดจำได้ง่าย

    ยกตัวอย่างเช่น Plan ของเว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์:

    1. สั่งสินค้า
    2. ลองสินค้า
    3. คืนสินค้าหากไม่พอดีเท้า
    4. สั่งสินค้า

    Plan จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจเป้าหมายมากขึ้น ด้วยการสร้างความชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

    ✊ Element 5. Call to Action

    แม้ว่ามี Plan แล้ว แต่ลูกค้าก็อาจจะยังไม่กดซื้อสินค้า/บริการของเรา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าลงมือทำ เราจะต้องมี Call to Action

    Call to Action ของเราควรตรงไปตรงมา และใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้

    เราควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่อ้อมค้อม เช่น “Learn more” หรือ “Get started” เพราะจะทำให้เราดูขาดความมั่นใจว่า ธุรกิจเราจะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้

    เราควรใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้อย่างชัดเจน เช่น:

    • “Buy now”
    • “Schedule a call”
    • “Call today”

    เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่า เรากำลังเชิญชวนให้ลูกค้าทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

    🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success

    สุดท้าย เราจะพูดถึง Failure และ Success เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

    Failure หรือ Success หมายถึง การสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่า ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ถ้าไม่ซื้อ vs ซื้อสินค้า/บริการของเรา

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • Failure: ลูกค้าจะต้องเจอปัญหาที่มีอยู่อีกนานเท่าไร?
    • Success: ชีวิตของลูกค้าจะดีขึ้นยังไงบ้าง?

    หลังจากสื่อสารทั้ง 7 องค์ประกอบแล้ว ลูกค้าก็มีโอกาสที่จะซื้อสินค้า/บริการของเรามากขึ้น

    💪 How to Implement StoryBrand

    เราสามารถสร้าง story ของเราได้ ด้วยการใช้ StoryBrand BrandScript จาก SmallBusinessFlightPlan.com:

    StoryBrand BrandScript (source: How to Grow Your Small Business)

    เมื่อเราได้ story ที่เราต้องการจะสื่อสารกับลูกค้าแล้ว เราสามารถนำ story ดังกล่าวไปปรับใช้กับเอกสารทาง marketing ต่าง ๆ เช่น:

    • Landing page
    • นามบัตร
    • โฆษณา

    เพื่อช่วยให้เรื่องราวที่เราสื่อสารในทุก ๆ จุดเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน


    3️⃣ Left Engine: Sales

    ส่วนประกอบที่ 3 ของธุรกิจ คือ sales ซึ่งเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ซ้ายของเครื่องบิน

    Sales เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจ เพราะถ้าไม่มี sales เราก็จะไม่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้

    ในการสร้างเครื่องยนต์ซ้ายที่ดี เราสามารถใช้ StoryBrand เพื่อสร้างเล่าเรื่องและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเราได้

    StoryBrand เมื่อปรับใช้กับ sales จะเรียกแนวคิดนี้ว่า Customer Is the Hero Sales Framework

    🦸 Customer Is the Hero Sales Framework

    Sales เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่า sales เป็นเรื่องของการจูงใจ โน้มน้าวใจให้ที่ไม่อยากซื้อมาซื้อกับเราให้ได้

    ในจุดนี้ Miller ชวนให้เรามอง sales ใหม่

    จาก:

    Sales = Manipulation (บงการ)

    เป็น:

    Sales = Invite customers into a story

    ในการขายในฉบับ Miller เราจะใช้แนวคิดเดียวกับ marketing นั่นคือ ขายผ่านเรื่องราวซึ่งมี 7 องค์ประกอบ:

    1. Character
    2. Problem
    3. Guide
    4. Plan
    5. Call to Action
    6. Failure
    7. Success

    โดยสิ่งที่ต่างออกไปจาก marketing คือ sales มีความยืดหยุ่นกว่า ในขณะที่ใน marketing เราสามารถสื่อสารเรื่องราวผ่านคำบนเว็บไซต์ที่คิดแล้วใช้ได้นาน ๆ ใน sales เราจะต้องสอดแทรกเรื่องราวเข้าไปในระหว่างการพูดคุยกับลูกค้า

    ซึ่งถ้าเราจะทำแบบนั้นได้ เราจะต้อง “think in story” ให้เป็น

    Miller ยกตัวอย่างเชฟที่รับจ้างทำอาหารตามบ้าน ถ้าเชฟไม่ได้ “คิดเป็นเรื่องราว” เมื่อมีคนถามว่าทำอาชีพอะไร เชฟอาจจะตอบว่า:

    “ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ้างทำอาหารตามบ้าน”

    ในทางกลับกัน ถ้าเชฟใช้เรื่องราวในการขาย:

    “คุณรู้ไหมว่า ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน? หรือถ้ากินด้วยกันก็ไม่ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ็อบทำอาหารตามบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ และไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพอาหารหรือเก็บกวาดครัว”

    ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า การพูดของเชฟมีองค์ประกอบของ StoryBrand เช่น:

    1. Character: ครอบครัวที่ต้องการทานอาหารด้วยกัน
    2. Problem: ไม่มีเวลาทานอาหารดี ๆ ด้วยกัน
    3. Guide: เชฟส่วนตัว

    ทั้งนี้ เชฟสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ ของ StoryBrand ในการพูดคุยต่อได้

    เช่น Plan:

    “ถ้าคุณสนใจ ขั้นตอนง่ายนิดเดียว ผมจะนัดคุยกับคุณสั้น ๆ เพื่อดูว่าคุณของทานอะไร จากนั้น ผมจะเตรียมของและไปทำอาหารให้คุณที่บ้าน และถ้าคุณอยากให้ผมไปทำอาหารให้เป็นจำ เช่น ทุกวันเสาร์ เราค่อยคุยกันว่า จะเป็นช่วยไหนดี”

    Failure ที่สื่อสารผลกระทบเชิงลบที่อาจตามมา พร้อมความเร่งด่วน:

    “อีกไม่กี่ปี เด็ก ๆ ก็จะโตออกไปอยู่ด้วยตัวเองแล้ว”

    และ Success:

    “ลูกค้าของผมได้ทานอาหารอร่อย ๆ และนั่งสบาย ๆ ทำความรู้จักคนในครอบครัวมากขึ้น นี่ขนาดว่าผมไปบ้านพวกเขาแค่ 1-2 วันจ่อสัปดาห์เองนะ”

    Call to Action ที่ตรงไปตรงมา ช่วยให้ลูกค้าตอบรับหรือปฏิเสธได้:

    “ตอนนี้ ผมมีเวลาช่วงเย็นวันพุธ คุณสนใจอยากจะนัดคุยกันเลยไหม?”

    💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework

    เพื่อช่วยให้เราคิดเป็นเรื่องราวได้ เราสามารถวางเรื่องราวที่เราจะใช้เล่าได้ก่อน

    เมื่อเราร่างเรื่องราวเสร็จ ให้เรา highlight ข้อความต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า เรามีครบทั้ง 7 องค์ประกอบ:

    1. Character: –
    2. Problem: สีแดง 🔴
    3. Guide: สีม่วง 🟣
    4. Plan: สีน้ำตาล 🟤
    5. Call to Action: สีเขียว 🟢
    6. Failure: สีเหลือง 🟡
    7. Success: สีน้ำเงิน 🔵

    ในกรณีที่เราเห็นว่า เรื่องราวของเรามีองค์ประกอบมากเกินไป เช่น สีแดง (Problem) เยอะเกิน เราสามารถแก้ไขเนื้อเรื่องเพื่อให้มีความสมดุลมากขึ้นได้

    เมื่อเขียนเสร็จ เราก็จะได้เรื่องราวสำหรับพูดคุยและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเรา

    💡 Pro Tips

    การขายแบบใช้ story เป็นการชวนลูกค้าเข้ามาในเรื่องราวที่เราวางไว้ เช่นเดียวกันกับผู้กำกับที่มองหานักแสดงที่เหมาะกับเนื้อเรื่อง เราจะต้องประเมินว่า ลูกค้าเหมาะกับเรื่องราวที่เรากำลังเล่าไหม

    ถ้าไม่เหมาะ เราไม่ควรพยายามขายต่อ หรือพยายามไม่ให้ลูกค้าซื้อสินค้า/บริการจากเรา เพราะลูกค้าที่ไม่ fit อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากธุรกิจของเรา และในกรณีที่ลูกค้าไม่พอใจ ก็อาจจะส่งผลเสียกับ brand มากกว่าได้

    ดังนั้น เราควรมองหาลูกค้าที่เหมาะกับเรื่องราวของเรา และกรองลูกค้าที่ไม่ใช่ออก

    นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะขายผ่านเรื่องราว แต่ลูกค้าก็มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเรื่องราวของเรา ในกรณีที่ลูกค้าปฏิเสธ ให้เราปิดจบการขายอย่างมั่นใจ เช่น:

    “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณรู้จักใครที่อยากได้เชฟส่วนตัว สามารถบอกผมได้เลย”

    การตอบอย่างมั่นใจจะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องปฏิเสธ และทำให้เราดูเป็นมืออาชีพอีกด้วย


    4️⃣ Wings: Product/Service

    ส่วนประกอบที่ 4 ของธุรกิจ คือ สินค้าและบริการ ซึ่งเปรียบเหมือนปีกเครื่องบิน

    ไม่ว่าเครื่องยนต์ (marketing และ sales) จะดีแค่ไหน แต่ถ้าปีกไม่กว้างหรือแข็งแรงพอ เครื่องบินก็จะไม่สามารถขึ้นบินได้

    เพื่อสร้างปีกที่แข็งแรง Miller เสนอให้เราทำตาม 3 ขั้นตอนดังนี้:

    1. Product Profitability Audit
    2. New profitable products
    3. Product brief

    🔍 Step 1. Product Profitability Audit

    ในขั้นแรก ให้เราจัดลำดับสินค้า/บริการตามผลกำไร (profitability) ซึ่งเราคำนวณได้ง่าย ๆ จากสูตร: ราคาขาย – ต้นทุน

    (เราสามารถใช้ Product Profitability Audit Worksheet ช่วยได้ ดู worksheet ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com)

    Product Profitability Audit Worksheet:

    Product Profitability Audit Worksheet

    เมื่อทำแบบนี้แล้ว เราสามารถแบ่งสินค้า/บริการได้เป็น 2 กลุ่ม:

    1. กลุ่มที่ทำกำไรได้ดี
    2. กลุ่มที่ขายไม่ออก

    สำหรับกลุ่มแรก ให้เราโฟกัสการขายไปเพื่อเพิ่มยอดขายจากเดิม เพราะการขายของที่ขายดีอยู่แล้วง่ายกว่าการขายของอื่น

    สำหรับกลุ่มที่สอง ให้เราเลือกหยุดขายเพื่อที่เราจะได้ (1) โฟกัสกับสินค้า/บริการที่ขายดี และ (2) ไม่ต้องแบกรับต้นทุนต่อ

    ⚗️ Step 2. More Profitable Products

    นอกจากการโฟกัสไปที่สินค้า/บริการขายดีและหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพภาพของปีกด้วยการสร้างสินค้า/บริการที่ขายดีเพิ่ม

    Miller แนะนำสินค้า/บริการไว้ 6 ประเภท ได้แก่:

    1. Making money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าสร้างรายได้เพิ่ม เช่น การให้คำปรึกษาทางการเงิน
    2. Save money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าออมเงินหรือประหยัดเงิน
    3. Reducing frustration: สินค้า/บริการที่สร้างความอุ่นใจ สบายใจ หรือสุขใจให้กับลูกค้า เช่น บริการดูแลสัตว์เลี้ยงเวลาเจ้าของไม่อยู่บ้าน
    4. Gaining status: สินค้า/บริการที่สร้างฐานะให้กับลูกค้า เช่น เครื่องเพชร, นาฬิกา, รถยนต์
    5. Creating connection: สินค้า/บริการที่สร้าง community และทำให้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้รวมตัวกัน
    6. Offering simplicity: สินค้า/บริการที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย เช่น บริการทำความสะอาด

    👀 Step 3. Product Brief

    สุดท้าย ก่อนที่เราจะสร้างสินค้า/บริการใด ๆ เราจะต้องเขียน product brief หรือเอกสารที่แจกแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า/บริการ พร้อมส่งต่อ product brief ให้กับทีม เพื่อเป็นการทดสอบและพัฒนาไอเดียต่อที่จะสร้างเป็นสินค้า/บริการจริง

    (ดู Product Brief Worksheet ได้ฟรีที่ SmallBusinessFlightPlan.com)

    ตัวอย่าง Product Brief Worksheet:

    ตัวอย่างบางส่วนของ Product Brief Worksheet

    แม้การทำอย่างนี้จะทำให้การทำงานช้าลง แต่การบินไปข้างหน้าในอนาคตจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะสินค้า/บริการถูกกระบวนคิดและวิจารณ์มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

    เมื่อเราทำทั้ง 3 อย่าง:

    1. Product Profitability Audit: เน้นขายสินค้า/บริการที่สร้างกำไรได้ดี และหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี
    2. More profitability products: สร้างสินค้า/บริการที่สร้างรายได้เพิ่มเติม
    3. Product brief: เขียนรายละเอียดสินค้า/บริการใหม่

    เราก็จะทำให้ปีกของเราแข็งแรง มีแรงส่งให้ธุรกิจของเราบินไดีเร็วและไกลมากขึ้น


    5️⃣ Body: Operation & Overhead

    Operation และ overhead เปรีบเหมือนตัวเครื่อง และเป็นส่วนประกอบที่ 5 ของธุรกิจ

    ถ้าตัวเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป เครื่องบินก็จะขึ้นบินได้ยาก

    เช่นเดียวกัน ธุรกิจจะเติบโตจะได้ยาก ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้ามากเกินไป

    ถ้าเราต้องการให้ธุรกิจบินได้เร็วและคล่องตัว เราจะต้องทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำได้ 2 วิธี:

    วิธีที่ 1: Lay off หรือลดขนาดตัวเครื่องด้วยการปลดพนักงานออก ซึ่งสามารถส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ และความสัมพันธ์กับพนักงาน

    วิธีที่ 2: เปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ

    ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนให้พนักงานช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากขึ้นในขณะที่รายจ่ายยังเท่าเดิม เครื่องบินของเราจะมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นในขณะที่ตัวเครื่องยังมีขนาดเท่าเดิม ทำให้ขนาดตัวเครื่องไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

    เราควรใช้วิธีที่ 2 เป็นอันดับแรก และเก็บวิธีที่ 1 ไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

    🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook

    Miller สร้าง Management and Productivity Made Simple Playbook ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นแรงผลักดันธุรกิจ ด้วยการจัดทัพให้พนักงานไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่าน 5 การประชุม ได้แก่:

    1. All-Staff Meeting: ประชุมรวมพนักงาน ทุก ๆ วันแรกของสัปดาห์ เพื่อช่วยให้พนักงานโฟกัสกับ 3 economic priorities และรักษากำลังใจพนักงาน ใช้เวลา 45-60 นาที
    2. Leadership Meeting: ประชุมผู้บริหารและหัวหน้า เพื่อสื่อสารโปรเจกต์ที่ดำเนินการอยู่ของแต่ละฝ่าย รวมทั้งอุปสรรคที่กำลังเผชิญ จัดขึ้นทุกสัปดาห์หลัง All-Staff Meeting และใช้เวลา 30-60 นาที
    3. Department Stand-up: ประชุมทีมของแต่ละฝ่าย เพื่อกำหนดเป้าหมายงานในแต่ละวัน รวมทั้งจัดการอุปสรรคที่มี จัดขึ้น 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีต่อครั้ง
    4. Personal Priority Speed Check: ประชุม 1 ต่อ 1 ระหว่างหัวหน้าทีมและสมาชิกทีม เพื่อเช็กการทำงานและเป้าหมายส่วนบุคคล จัดขึ้นทุก ๆ สัปดาห์ ไม่เกิน 15 นาที
    5. Quarterly Performance Reviews: จัดขึ้นทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้สมาชิกทีมและหัวหน้าทีมได้รีวิวการทำงานกับหัวหน้าทีมแบบ 1 ต่อ 1

    💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple

    Miller แบ่งการใช้งาน Playbook เป็น 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

    ขั้นที่ 1. หา operator

    Miller แบ่งผู้นำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่:

    1. Artist: ผู้นำที่มุ่งเน้นการพัฒนา product
    2. Entrepreneur: ผู้นำที่มองหาโอกาสทางธุรกิจ
    3. Operator: ผู้นำที่ชอบวางระบบและจัดระเบียบ

    Miller แนะนำว่า คนที่ช่วยทำให้เกิดการประชุมทั้งห้าควรเป็น Operator มากกว่า Artist และ Entrepreneur เพราะ Artist และ Entrepreneur จะเข้าประชุมพร้อมกับไอเดียและพาทุกคนออกทะเล แต่ Operator จะเข้าประชุมเพื่อทำให้การประชุมดำเนินไปได้ตามที่กำหนด

    ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจและรู้ตัวว่า เราไม่ใช่ Operator เราควรแต่งตั้งคนที่เป็น Operator มาช่วยทำให้เกิด meetings ขึ้นแทนเรา

    ขั้นที่ 2. จัดการประชุม

    เมื่อได้ Operator มาแล้ว ให้เราค่อย ๆ เพิ่มประชุมทีละอย่าง โดยเราจะเพิ่มประชุมก็ต่อเมื่อทุกอย่างเริ่มดูเข้าทีเข้าทางจากประชุมก่อนหน้า

    เราจะทยอยจัดประชุมตามนี้:

    1. All-Staff Meeting
    2. Leadership Meeting
    3. Department Stand-up
    4. Personal Priority Speed Check
    5. Quarterly Performance Reviews

    เพื่อทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพ ผู้รับผิดควรจะต้องเตรียมตัวมาก่อนโดยการกรอก worksheet ของแต่ละการประชุมล่วงหน้า เราสามารถดู worksheets ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com

    ตัวอย่าง worksheet:

    All-Staff Meeting worksheet

    🍎 Other Meetings

    ทั้งนี้ เราสามารถปรับเปลี่ยนการประชุมได้ตามความต้องการของธุรกิจ

    เช่น ธุรกิจเรามีพนักงาน 5 คน เราสามารถรวม All-Staff Meeting กับ Leadership Meeting เข้าด้วยกันได้ และไม่ต้องมี Department Stand-up เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า จะมีงานอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    นอกจานี้ เราสามารถมีประชุมเสริม เพื่อตอบโจทย์อื่น ๆ ได้ เช่น:

    • Revenue meeting เพื่อรีวิวผลกำไรและทิศทางที่จะไปต่อ
    • War Rooms สำหรับแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจง
    • Leadership off-site meeting สำหรับผู้บริหารและหัวหน้าทีมได้ใช้เวลาร่วมกันนอกออฟฟิศ

    คนที่รู้จักธุรกิจของเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง ดังนั้น เราสามารถออกแบบได้ว่าการประชุมแบบไหนจะให้ผลที่ดีที่สุดกับธุรกิจ


    6️⃣ Fuel: Cash Flow

    ส่วนสุดท้าย แต่สำคัญไม่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ คือ น้ำมัน หรือ cash flow

    ไม่ว่าเครื่องยนต์จะทรงพลังหรือปีกจะแข็งแรงขนาดไหน ธุรกิจของเราจะขึ้นบินไม่ได้ถ้าไม่มี cash flow หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์

    แม้ว่าธุรกิจเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในโลก แต่ธุรกิจจะดำเนินไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินสนับสนุน

    การบริหารการเงินอาจไม่ใช่เรื่องที่สนุกที่สุดของการดำเนินธุรกิจ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น Miller เองดูเหมือนนักธุรกิจหลาย ๆ คนที่ชอบการหาเงินมากกว่าจัดการเงิน ดังนั้น แนวทางในการบริหารเงินของ Miller จึงเน้นความเข้าในง่ายและตอบโจทย์ได้จริง

    💸 Cash Flow Made Simple

    แนวคิด Cash Flow Made Simple เสนอให้เราแบ่งบัญชีออกป็น 5 บัญชี ได้แก่:

    1. Operating Account สำหรับดำเนินธุรกิจ (เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าออฟฟิศ)
    2. Personal Account สำหรับรับเงินเดือน
    3. Tax Account สำหรับจ่ายภาษีธุรกิจ
    4. Business Profit Account สำหรับเก็บกำไรจากธุรกิจ
    5. Investment Holding Account สำหรับลงทุนต่อยอด

    การใช้ทั้ง 5 บัญชีมี 5 ขั้นตอนดังนี้:

    ขั้นที่ 1. เก็บเงินสำหรับใช้จ่ายทุกอย่างของธุรกิจไว้ใน Operating Account (เท่านั้น)

    ขั้นที่ 2. ทุก ๆ สัปดาห์ เดือน หรือปี ให้จ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง จาก Operating Account เข้า Personal Account โดยเราควรกำหนดจำนวนเงินล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เราดึงเงินออกมามากเกินและทำให้ธุรกิจขาด cash flow

    การจ่ายเงินเดือนจะทำให้เรารู้ว่า เงินไหนเป็นของเรา และเงินไหนสำหรับธุรกิจ

    ขั้นที่ 3. ในกรณีที่เงินใน Operating Account เกินจำนวนที่ตั้งไว้ ให้แบ่งเงินส่วนเกินไป 2 บัญชีนี้:

    1. ครึ่งหนึ่งไปที่ Tax Account เพื่อให้มีเงินจ่ายภาษี
    2. ครึ่งหนึ่งไปที่ Business Profit Account เพื่อเก็บเป็นเงินสำรองในยามที่ธุรกิจขัดสน

    ทั้งนี้ Miller แนะนำว่า ระดับที่เรากำหนดไว้ ควรเท่ากับค่าใช้จ่ายสูงสุดที่เราจะเจอในเดือนนั้น ๆ

    เช่น เราคาดว่า จะต้องจ่ายเงินให้ supplier 500,000 บาท แสดงว่า ระดับในเดือนนั้นควรสูงกว่า 500,000 บาท เพื่อให้เรามีเงินใช้จ่ายอย่างอื่นได้ (เช่น 600,000 บาท)

    ถ้าเรามีเงินเกินระดับที่กำหนด (เช่น 620,000 บาท) เราถึงจะแบ่งเงินส่วนเกินเข้า Tax Account และ Business Profit Account (บัญชีละ 20,000 / 2 = 10,000 บาท)

    ขั้นที่ 4. ในกรณีที่ Business Profit Account มีเงินมากเกินระดับที่กำหนดไว้ ให้โอนเงินส่วนเกินไปยัง Investment Holding Account

    ระดับที่กำหนดควรสูงกว่าระดับของ Operating Account 6 เท่า เพื่อให้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจในยามวิกฤตได้

    Miller เปรียบเทียบการมีเงิน ใน Business Profit Account เหมือนกับเครื่องบินที่มีน้ำมันสำรอง ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งทำให้บินรอบสนามได้นานได้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นและเครื่องบินสามารถลงจอดได้

    ในกรณีที่ธุรกิจเผชิญกับวิกฤติ เราสามารถโอนเงินจาก Business Profit Account และ Tax Account กลับไปยัง Operating Account ได้

    ขั้นที่ 5. เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำอะไรกับเงินใน Investment Holding Account เช่น:

    • หาความสุขให้ตัวเองด้วยการซื้อรถคันใหม่
    • เอาเงินไปลงทุนต่อยอด เพื่อให้ได้ปันผลกลับมา เป็นรายได้ช่องทางที่สองต่อจากธุรกิจของเราเอง
    การไหลของเงินใน Cash Flow Made Simple: Operating Account >> Personal Account (Owner’s Personal) + Tax (Taxes) + Business Profit Account (Business Savings) >> Investment Holding Account (Owner’s Investment)

    💪 How to Implement Cash Flow Made Simple

    เราสามารถเริ่มใช้ Cash Flow Made Simple ได้ใน 5 ขั้นตอนดังนี้:

    1. เปิดบัญชีทั้งห้า
    2. ใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจจาก Operating Account
    3. จ่ายเงินเดือนให้ตัวเองเข้า Personal Account
    4. กำหนดระดับของ Operating Account สำหรับโอนเงินไปยัง Tax Account และ Business Profit Account
    5. กำหนดระดับของ Business Profit Account สำหรับโอนไป Investment Holding Account

    Bonus: เราสามารถใช้ SmallBusinessFlightPlan.com เพื่อช่วยคำนวณและวางแผน cash flow ได้


    😎 How to Implement Business Flight Plan

    คนที่อยากใช้ Small Business Flight Plan สามารถทำได้ 3 วิธี:

    1. ทำเองโดยใช้หนังสือ How to Grow Your Small Business เป็นคู่มือ
    2. สมัครเรียนกับ Business Made Simple University (BusinessMadeSimple.com)
    3. จ้าง certified coach ของ Business Made Simple (HireACoach.com)

    ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน เราสามารถปรับใช้ Small Business Flight Plan ได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจเรา เพราะแต่ละธุรกิจมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และคนที่รู้จักธุรกิจเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง


    หมายเหตุ:

    เนื้อหาบางส่วนถูกเสริมมาจากหนังสือและคอร์สเรียน Business Made Simple


    🧠 Grow Your Knowledge

    สำหรับคนที่สนใจอยากศึกษาการบินธุรกิจเพิ่มเติม สามารถซื้อหนังสือ How to Grow Your Small Business โดยคลิกด้านล่าง:

  • 11 บุคลิกภาพมืดของผู้นำ

    11 บุคลิกภาพมืดของผู้นำ

    1. Axis II Approach
    2. กลุ่มที่ 1: Move Away
      1. Excitable
      2. Skeptical
      3. Cautious
      4. Reserved
      5. Leisurely
    3. กลุ่มที่ 2: Move Against
      1. Arrogant
    4. กลุ่มที่ 3: Move Toward
      1. Diligent
      2. Dutiful
    5. สรุป 11 ด้านมืดของผู้นำ
    6. อ้างอิง
    7. ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    👉 ในบทความก่อนหน้า (Eps. 3, 4) เราได้พูดถึงบุคลิกภาพด้านมืด (dark personality) หรือบุคลิกภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ทางสังคม และอิทธิพลของลักษณะเหล่านี้ในบริบทต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างจากที่ Dark Triad (Machiavellianism หรือ Mach, narcissism, และ psychopathy; Paulhus & Williams, 2002) ซึ่งเป็นบุคลิกภาพด้านมืด 3 อย่างที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักจิตวิทยา

    แต่ในการศึกษาบุคลิกภาพด้านมืด ยังมีอีกกรอบแนวคิดที่ได้รับความสนใจทั้งในงานวิจัยและการพัฒนาศักยภาพผู้นำในองค์กร

    กรอบแนวคิดนี้ คือ Axis II approach


    Axis II Approach

    Axis II approach มีความน่าสนใจ เพราะเป็นการศึกษาบุคลิกภาพด้านมืดที่อ้างอิงกรอบแนวคิดของความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (personality disorder) ตาม Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) ซึ่งเป็นคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตของนักจิตวิทยา

    นักจิตวิทยาที่มักได้รับการกล่าวถึงเมื่อพูดถึง Axis II approach คือ Robert Hogan และ Joyce Hogan ผู้เชี่ยวชาญบุคลิกภาพในที่ทำงาน เจ้าของบริษัท Hogan Assessments (www.hoganassessments.com) และผู้พัฒนา Hogan Development Survey (HDS) ซึ่งเป็นแบบประเมินบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้านของ Axis II approach ซึ่งใช้การคัดเลือกและพัฒนาบุคลากรและผู้นำ

    Hogan และ Hogan (2001, 2009; Hogan et al., 2011) ให้ความสนใจบุคลิกภาพด้านมืดจากการศึกษาเพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ (leadership failure หรือ leadership derailment) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ 50 ถึง 75% ของผู้นำทั้งหมด (Hogan et al., 2011)

    Hogan และ Hogan เชื่อว่า ผู้นำที่ขาดประสิทธิภาพเกิดจากการมีลักษณะที่ไม่ดี (บุคลิกภาพด้านมืด) มากกว่าขาดลักษณะที่ดี (บุคลิกภาพด้านสว่าง) ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า บุคลิกภาพด้านมืดที่เกี่ยวข้องกับการขาดประสิทธิภาพของผู้นำมีความคล้ายคลึงกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพของ DSM*

    จากความคล้ายคลึงนี้ Hogan และ Hogan จึงใช้ความผิดปกติทางบุคลิกภาพของ DSM (ซึ่งจัดอยู่ใน Axis II ของคู่มือ) ในการนิยามบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้าน โดย

    1. เน้นไปที่ลักษณะเฉพาะของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแต่ละตัว และตัดลักษณะที่ซ้ำซ้อนกันออก เช่น ในการนิยามบุคลิกภาพด้านมืดจาก narcissistic personality disorder หรือความหลงตัวเอง ก็เลือกเฉพาะความหลงตัวเองมา และตัดความไม่ใส่ใจคนอื่น (lack of empathy) ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพอื่น ๆ ออก
    2. ปรับนิยามให้เข้ากับบริบทของการทำงาน (ระบุลักษณะที่ไม่ดีของผู้นำ) แทนบริบทของจิตวิทยาคลินิก (การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต)
    3. ปรับนิยามให้เข้ากับประชากรทั่วไป (พฤติกรรมด้านลบของคนทั่วไป) แทนคนที่มีความผิดปกติทางจิต (พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต สังคม และการทำงานในระดับที่เข้าข่ายความผิดปกติทางจิต)
    4. ปรับให้เป็นนิยามแบบมิติ (dimension) แทนกลุ่ม (category) ซึ่งหมายถึง ทุกคนหนึ่งสามารถมีบุคลิกภาพด้านมืดได้มากกว่า 1 ด้าน (ตรงข้ามกับการวินิจฉัยความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ 1 คนจะมีได้ 1 ลักษณะหลัก)

    ตามมุมมของ Hogan และ Hogan บุคลิกภาพด้านมืดมีในตัวทุกคน และคนส่วนใหญ่สามารถควบคุมด้านมืดของตัวเองไว้ได้ แต่บางครั้ง ในสถานการณ์ที่เหนื่อย เบื่อ เครียด หรือมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน (เช่น มี process การทำงานที่ไม่ชัดเจน หรือการทำงานมี visibility ต่ำ) บุคลิกภาพด้านมืดเหล่านี้มีโอกาสที่จะแสดงตัวออกมาและสร้างความเสียหายได้ (ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า ทำไม CEO หลายคนถึงหลุดจากตำแหน่งเวลาเจอกับวิกฤตต่าง ๆ)

    บุคลิกภาพด้านมืดทั้ง 11 ด้าน จับกันได้เป็น 3 กลุ่ม ซึ่งคล้ายกับแนวคิดความโน้มเอียงทางสังคมที่ไม่มีประสิทธิภาพ (flawed interpersonal tendencies) ของนักจิตวิเคราะห์ (psychoanalyst) ชาวเยอรมัน Horney (1950) ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม 11 บุคลิกภาพมีลักษณะดังนี้ (Hogan & Hogan, 2001, 2009; Hogan et al., 2011)


    กลุ่มที่ 1: Move Away

    ลักษณะของบุคลิกภาพในกลุ่มนี้ คือ พฤติกรรมที่ตีตัวออกห่างจากคนอื่น (move away) ซึ่งประกอบด้วย 5 บุคลิกภาพ

    Excitable

    (เทียบได้กับ borderline personality disorder ของ DSM ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์และพฤติกรรม เวลาหนึ่งรักใคร่คนอื่นดี อีกเวลาด้อยค่า ขับไล่ไสส่งคนอื่น)

    บุคลิกภาพนี้มีความเชื่อลึก ๆ ที่ว่า ตัวเองจะต้องผิดหวังในความสัมพันธ์กับคนอื่น จึงมักตีความพฤติกรรมของคนอื่นไปในทางลบ (เช่น เชื่อว่าคนอื่นปฏิเสธหรือปฏิบัติกับตัวเองไม่ดี) และเมื่อ “คิด” ว่าถูกปฏิเสธ ก็มักจะตอบสนองอย่างรุนแรง (เช่น ตะโกนขับไล่)

    ข้อดีของบุคลิกภาพนี้ คือ เข้าใจคนอื่นเพราะเป็นคนที่รู้ว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม แต่ข้อเสีย คือ เป็นคนเอาใจยาก อารมณ์เสียง่าย อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ และสนใจใครหรืองานไม่ได้นาน

    (ถ้านึกภาพบุคลิกภาพนี้ ก็คงเป็นหัวหน้าที่ชอบใช้อารมณ์และด่าทอลูกน้องบ่อย ๆ)

    Skeptical

    (เทียบได้กับ paranoid personality disorder ของ DSM ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความหวาดระแวงที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง)

    บุคลิกภาพนี้คิดว่า ตัวเองจะถูกทรยศหลอกหรือทรยศหักหลังได้ตลอดเวลา จึงมักไว้ใจคนอื่นยาก แต่เมื่อไว้ใจแล้วก็มักจะมีความซื่อสัตย์สูง

    คนเหล่านี้มักอ่านคนเก่งและรู้ลึกในเรื่องการเมืองขององค์กร แต่ข้อเสีย คือ อ่อนไหวต่อการถูกหักหลัง แค่เมื่อ “รู้สึก” ว่ากำลังโดนคนอื่นทรยศ ก็จะตีตัวออกห่างและโจมตีคนอื่น (เช่น ต่อว่าหรือกล่าวหาคนอื่น)

    (เทียบแล้วก็คือ หัวหน้าที่มักระแวงตลอดเวลาว่า ลูกน้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ หัวหน้าฝ่ายอื่นจะกลั่นแกล้ง และผู้บริหารจะบีบให้ลาออก)

    Cautious

    (เทียบได้กับ avoidant personality disorder ของ DSM ที่มีลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงสังคม เพราะกลัวว่าจะทำอะไรผิดและทำให้ตัวเองขายหน้าหรือถูกต่อว่า)

    บุคลิกภาพนี้มีความกลัวที่จะถูกคนอื่นวิจารณ์หรือต่อว่า จึงมักเลี่ยงความเสี่ยงต่าง ๆ และทำงานอย่างละเอียดและรอบคอบตามกฎเกณฑ์หรือขั้นตอนที่เคยเห็นมาแล้วว่าดี จนทำให้เสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรมหรือการทำสิ่งใหม่ ๆ

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ยึดแต่วิธีการทำงานเดิม ๆ แม้ว่าจะเห็นอยู่ว่า การทำงานจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงก็ตาม)

    Reserved

    (เทียบได้กับ schizoid personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ ความไร้อารมณ์)

    บุคลิกภาพนี้เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง และไม่ไวต่อความคิด ความรู้สึก หรือกระแสสังคมรอบข้าง

    ข้อดี คือ ทนต่อการเมืองในองค์กร สามารถรับคำวิจารณ์ คำด่าทอจากคนอื่นได้โดยไม่หวั่นไหว แต่ข้อเสีย คือ ไม่ไวต่อความต้องการของคนอื่น ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญของผู้นำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้ตามต้องการที่พึงทางจิตใจ

    (หัวหน้าที่มีบุคลิกภาพนี้น่าจะเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสภาพการณ์รอบข้าง ไม่ว่าลูกน้องจะเครียดจากงานขนาดไหน ไม่ว่าการเมืองในองค์กรจะเป็นยังไง ไม่ว่าใครจะไม่ถูกกับใคร หัวหน้าคนนี้ก็ไม่รับรู้ หรือรับรู้แต่ไม่สนใจ)

    Leisurely

    (เทียบได้กับ passive-aggressive personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ การต่อต้านในทางอ้อม)

    ลักษณะเด่นของบุคลิกภาพนี้ คือ เป็นคนที่มองดูเหมือนคนที่ให้ความร่วมมือกับคนอื่นดี แต่แท้จริงแล้วมักมองว่าคนอื่นมีหวังร้าย และเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกคนอื่นกำลังเอาเปรียบอยู่

    บุคลิกภาพนี้มักเป็นคนดื้อดัน ไม่ยอมทำตามคนอื่น ถ้าถูกขอหรือถูกกดดันให้ทำงานเพิ่มจากที่ทำอยู่ ก็มักจะเอาเท้าราน้ำ เช่น แกล้งทำงานช้าลง แกล้งทำงานพลาด หรือแกล้งทำเป็นลืม

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่เชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง และถ้าใครมองให้ทำอะไรหรือช่วยอะไร ก็จะไม่ทำ แกล้งทำเป็นลืม แกล้งให้อย่างช้า ๆ หรือแกล้งทำให้งานถอยหลังมากกว่าเดินหน้า)


    กลุ่มที่ 2: Move Against

    บุคลิกภาพในกลุ่มนี้มีลักษณะร่วมกัน คือ พฤติกรรมต่อต้านคนอื่น (move against) ประกอบด้วย 4 บุคลิกภาพ

    Arrogant

    (เทียบได้กับ narcissistic personality disorder ของ DSM หรือบุคลิกภาพหลงตัวเอง)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า ตัวเองจะเป็นที่ชื่นชอบและจะได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นเป็นพิเศษ รวมทั้งมีความมั่นใจเกินตัว

    ข้อดีของบุคลิกภาพนี้ คือ ดูมีความมั่นใจ ดูเป็นผู้นำ กล้าที่จะเสนอตัวเพื่อทำให้งานเดินหน้า แต่ข้อเสีย คือ เป็นคนหยิ่ง เห็นแก่ตัว และเรียกร้องความสนใจ

    (เปรียบได้กับหัวหน้าที่ดีแต่พูด แต่ทำไม่ได้จริง และมักเรียกร้องความเคารพและการปฏิบัติที่ดีจากลูกน้องและคนรอบข้าง)

    Mischievous

    (เทียบได้กับ antisocial personality disorder ของ DSM ซึ่งลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมต่อต้านสังคม)

    บุคลิกภาพนี้เชื่อว่า ตัวเองอยู่เหนือกฎระเบียบ และสนุกกับการหลอกใช้หรือเอาผลประโยชน์จากคนอื่น

    ข้อดี คือ เป็นคนที่ดูมีความมั่นใจ ชอบความท้าทาย กล้าได้กล้าเสีย แต่ข้อเสีย คือ หุนหันพลันแล่น มักทำอะไรโดยไม่คิดให้ดีก่อน จอมบงการ มักใช้ประโยชน์จากคนอื่น

    (บุคลิกภาพนี้อาจะเป็นหัวหน้าที่มีพูดจาดีน่าฟัง แต่เป็นคนที่รับมากกว่าให้ และมักทำอะไรตามอารมณ์)

    Colorful

    (เทียบได้กับ histrionic personality disorder ของ DSM ซึ่งลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า ตัวเองจะเป็นจุดสนใจของคนอื่น จึงมีพฤติกรรมที่หวือหวาเฮฮา ชอบดราม่า เล่นใหญ่ ชวนให้คนอื่นสนใจ

    ข้อดี คือ เป็นคนที่สนุกสนาน เป็นสีสันให้กับที่ทำงาน แต่ข้อเสีย คือ มักพูดหรือทำอะไรเกินจริงและหยิบจับอะไรไม่ได้นาน

    (อาจจะเทียบได้กับหัวหน้าที่เอาแต่เล่นใหญ่ เล่นตลก หรือทำเหมือนกำลังอยู่ในปาร์ตี้ทั้งวันจนไม่ได้งาน)

    Imaginative

    (เทียบได้กับ schizotypal personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ การมีพฤติกรรมและความเชื่อแปลก ๆ เช่น เชื่อว่าคลื่นทีวีล้างสมองคนได้)

    บุคลิกภาพนี้มีความคิดความอ่านที่แปลกและไม่เหมือนใคร ซึ่งทำให้เป็นคนที่ดูมีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม มองการณ์ไกล แต่ข้อเสีย คือ มักจบอยู่กับความคิดของตัวเองจนลืมคนและสภาพความเป็นจริงรอบข้าง

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่ใช้เวลาส่วนใหญ่คิดเพ้อฝัน มีความคิดยิ่งใหญ่มากมายที่ทำไม่ได้จริง)


    กลุ่มที่ 3: Move Toward

    กลุ่มสุดท้ายเป็นบุคลิกภาพที่เข้าหาคนอื่น (move toward) ซึ่งถ้าดูผิวเผินอาจจะดูไม่เหมือนบุคลิกภาพด้านมืด แต่ทั้ง 2 บุคลิกภาพนี้ในกลุ่มนี้สามารถส่งผลด้านลบต่อการทำงานและคนรอบข้างได้เช่นเดียวกับ 2 กลุ่มที่ผ่านมา

    Diligent

    (เทียบได้กับ obsessive-compulsive personality disorder ของ DSM หรือบุคลิกภาพย้ำคิดย้ำทำ)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า คนอื่นจะประเมินงานของตัวเองอย่างละเอียดทุกซอกมุม จึงเป็นคนที่มีวิธีการทำงานที่เคร่งคัดและมาตรฐานการทำงานที่สูงลิบ รวมทั้งคาดหวังให้คนอื่นมีวิธีการและมาตรฐานเดียวกับตัวเอง ซึ่งอาจทำให้คนอื่นอึดอัดและทำงานด้วยยาก

    ข้อดี คือ ขยัน ละเอียด ทำงานถูกต้องเรียบร้อย แต่ข้อเสีย คือ มัก micro-manage คือ ติดตามการทำงานของคนอื่นทุกฝีก้าว ไม่ปล่อยให้ทำงานอย่างอิสระ จนอาจทำให้เสียความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องได้

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่เป็น perfectionist ยึดมั่นในกฎระเบียบหรือวิธีจนเกินไป และคอยจี้ คอยเพ่งเล็งการทำงานของลูกน้องทุกลมหายใจ)

    Dutiful

    (เทียบได้กับ dependent personality disorder ของ DSM ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่เชื่อว่า ตัวเองไม่สามารถเชื่อเหลือตัวเองได้ และจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่พึงพาคนอื่น)

    บุคลิกภาพนี้มีความคาดหวังสูงกับการเป็นที่ยอมรับและเข้ากับคนอื่นได้ จึงมักมีพฤติกรรมที่คอยทำให้คนอื่นพอใจและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง การเผชิญหน้า หรือตอบปฏิเสธคนอื่น

    ข้อดี คือ ดูเป็นคนใจดี เพราะคอยทำตามความต้องการของคนอื่น แต่ข้อเสีย คือ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะคอยดูว่าคนอื่นจะคิดยังไงและจะทำยังไงให้คนอื่นถูกใจที่สุด

    (อาจเทียบได้กับหัวหน้าที่เป็นห่วงความรู้สึกของทุกคนไปหมด จนตัดสินใจหรือทำงานต่อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ทุกคนพอใจได้พร้อม ๆ กันหมด)


    สรุป 11 ด้านมืดของผู้นำ

    บุคลิกภาพด้านมืดของ Axis II approach เป็น 11 ลักษณะด้านมืด (3 กลุ่ม) ที่อ้างอิงมาจากความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ระบุใน DSM เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมด้านลบในที่ทำงาน โดยเฉพาะลักษณะของผู้นำที่ขาดประสิทธิภาพ

    1. Move away: กลุ่มตีตัวออกห่าง
      • Excitable: หัวร้อน หงุดหงิดง่าย ชอบโวยวาย
      • Skeptical: ขี้ระแวง ไม่เชื่อใจคนอื่น
      • Cautious: กลัวผิดกลัวพลาด ขี้ระมัดระวัง
      • Reserved: เงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง
      • Leisurely: ดื้อ ปากพูดดีแต่ตัวทำอีกอย่าง
    2. Move against: กลุ่มต่อต้านคนอื่น
      • Bold: หลงตัวเอง เรียกร้องการปรนนิบัติจากคนอื่น
      • Mischievous: ชอบเสี่ยง หลอกลวง เล่นกับกฎระเบียบ
      • Colorful: หวือหวา เล่นใหญ่ ชอบดราม่า
      • Imaginative: เพ้อฝัน คิดใหญ่
    3. Move toward: กลุ่มเข้าหาคนอื่น
      • Diligent: perfectionist, micro-manager
      • Dutiful: ใจดี ปฏิเสธไม่เป็น

    หมายเหตุ

    * DSM ในปัจจุบัน (ค.ศ. 2023) คือ DSM-V และฉบับที่ Hogan และ Hogan อ้างอิง คือ DSM-IV-TR ทั้งนี้ DSM-V และ DSM-IV-TR ระบุความผิดปกติทางบุคลิกภาพไว้ 10 ด้าน แต่ Hogan และ Hogan เลือกให้มีบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้าน โดยที่ด้านที่เพิ่มเข้ามายังมีความสำคัญในการที่ทำงาน (Leisurely) และเป็นบุคลิกภาพด้านมืดที่คล้ายคลึงกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่มีในฉบับก่อน ๆ แต่ไม่มีใน DSM-IV-TR และ DSM-V


    อ้างอิง

    Hogan, J., Hogan, R., & Kaiser, R. B. (2011). Management derailment. In S. Zedeck (Ed.), APA handbook of industrial and organizational psychology, Vol. 3. Maintaining, expanding, and contracting the organization (pp. 555–575). American Psychological Association.

    Hogan, R., & Hogan, J. (2001). Assessing leadership: A view from the dark side. International Journal of Selection and Assessment, 9(1-2), 40–51.

    Hogan, R., & Hogan, J. (2009). Hogan Development Survey manual (2nd ed.). Hogan Assessment Systems.

    Horney, K. (1950). Neurosis and human growth: The struggle toward self-realization. Norton.


    บทความต้นฉบับจาก https://www.blockdit.com/posts/64cea71c5c4cf6bdec64e570


    ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    📕 ขอฝากหนังสือเล่มแรกในชีวิตด้วยนะครับ 😆

    🙋 ใครที่กำลังเรียนจิตวิทยาหรือทำงานสายจิตวิทยา และเบื่อที่ต้องใช้ software ราคาแพงอย่าง SPSS และ Excel เพื่อทำข้อมูล

    💪 ผมขอแนะนำ R Book for Psychologists หนังสือสอนใช้ภาษา R เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยา ที่เขียนมาเพื่อนักจิตวิทยาที่ไม่เคยมีประสบการณ์เขียน code มาก่อน

    ในหนังสือ เราจะปูพื้นฐานภาษา R และพาไปดูวิธีวิเคราะห์สถิติที่ใช้บ่อยกัน เช่น:

    • Correlation
    • t-tests
    • ANOVA
    • Reliability
    • Factor analysis

    🚀 เมื่ออ่านและทำตามตัวอย่างใน R Book for Psychologists ทุกคนจะไม่ต้องพึง SPSS และ Excel ในการทำงานอีกต่อไป และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองได้ด้วยความมั่นใจ

    แล้วทุกคนจะแปลกใจว่า ทำไมภาษา R ง่ายขนาดนี้ 🙂‍↕️

    👉 สนใจดูรายละเอียดหนังสือได้ที่ meb: