Tag: DataRockie

  • สรุป 34 ข้อคิด (5 กลุ่ม) จากงาน What the Duck 2025: How to Survive, Thinking, How to Grow, Agency, และ Last Message

    สรุป 34 ข้อคิด (5 กลุ่ม) จากงาน What the Duck 2025: How to Survive, Thinking, How to Grow, Agency, และ Last Message

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุป 33 ข้อคิดจากงาน What the Duck 2025 ของเพจ DataRockie ซึ่งเป็นงานที่จะขึ้นทุกปี และปีนี้เป็นปีแรกที่จัดแบบออนไลน์

    ข้อคิดทั้ง 33 ข้อ จัดได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้:

    1. How to survive
    2. Thinking
    3. How to grow
    4. Agency
    5. Last message

    ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูสรุปทั้ง 33 ข้อคิดกัน


    1. 🔥 Group 1. How to Survive
    2. 😌 Group 2. Thinking
    3. 🚀 Group 3. How to Grow
    4. 🧑‍💼 Group 4. Agency
    5. 💪 Group 5. Last Message
    6. 📚 Sources
    7. 📄 References

    🔥 Group 1. How to Survive

    8 ข้อคิดเกี่ยวกับการเอาตัวรอด:

    1. Get closer to the reality
    2. Accept reality
    3. No one’s there to save you, but yourself
    4. Become a better version
    5. Road less travelled
    6. Mountain without top
    7. The best investment is in yourself
    8. Skill is anything we can learn, even happiness

    .

    ข้อ 1. Get closer to the reality

    ไม่มีใครรู้ว่า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น (เช่น economic crisis, AI disruption, new pandemic) และถ้าเราจะอยู่รอด เราจะต้องเข้าใกล้ความจริง (reality) ให้ได้มากที่สุด

    You can only make progress when you’re starting with the truth. — Naval Ravikant

    .

    ข้อ 2. Accept reality

    เราจะเข้าใกล้ความจริงได้ ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างที่เป็น

    Accept everything just as the way it is. — Miyamoto Musashi

    .

    ข้อ 3. No one’s there to save you, but yourself

    ไม่มีใครจะช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง

    Seek nothing outside of yourself. — Miyamoto Musashi

    .

    ข้อ 4. Become a better version

    เราจะ save ตัวเองได้ด้วยการพัฒนาตัวเองให้เป็น version ที่ดีที่สุด

    .

    ข้อ 5. Road less travelled

    การพัฒนาตัวเองอาจไม่ใช่ทางที่ง่าย มักไม่ใช่ทางที่คนส่วนใหญ่เลือกกัน (เช่น ตื่นเข้ามาอ่านหนังสือแทนที่จะเล่น TikTok) แต่เป็นทางที่เราควรเลือกถ้าเราอยากจะอยู่รอด

    .

    ข้อ 6. Mountain without top

    เราอาจจะไม่สามารถเป็น version ที่ดีที่สุดของเราได้ แต่เราก็ยังต้องเลือก road less travelled เพราะแม้เราจะไม่กลายเป็น best version แต่เราจะเป็น better version ของตัวเองในทุก ๆ วัน

    You can be wiser, but never the wisest.

    .

    ข้อ 7. The best investment is in yourself

    การลงทุนที่ดีที่สุด คือ การลงทุนในตัวเอง

    Work harder on yourself than you do on your job. — Jim Rohn

    .

    ข้อ 8. Skill is anything we can learn, even happiness

    Skill คือ ทุกอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้

    แม้กระทั่งความสุขก็เป็น skill อย่างหนึ่ง


    😌 Group 2. Thinking

    5 ข้อคิดเกี่ยวกับการคิด:

    1. Think → doing → becoming
    2. Thinking is a road less travelled
    3. Think exponential
    4. Think for yourself
    5. Think: leverage

    .

    ข้อ 9. Think → doing → becoming

    ทุกอย่างเริ่มจากความคิด เราควรจะใช้เวลาว่างคิดตกผลึกเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง

    .

    ข้อ 10. Thinking is a road less travelled

    การคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่สิ่งที่เราทำบ่อย แต่เป็นสิ่งที่เราควรทำ

    Two percent of the people think; three percent of the people think they think; and ninety-five percent of the people would rather die than think. — George Bernard Shaw

    .

    ข้อ 11. Think exponential

    ในโลกที่มีความซับซ้อน การคิดเป็นเส้นตรงอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป ถ้าเราจะอยู่รอด เราจะต้องคิดให้แตกต่างไปจากเดิม

    .

    ข้อ 12. Think for yourself

    เราเริ่มพัฒนาตัวเอง โดยคิดด้วยตัวเองเพื่อตัวเองมากขึ้น

    Think for yourself, by yourself — Ad Toy

    .

    ข้อ 13. Think: leverage

    Leverage คือ สิ่งที่ช่วยขยาย impact ของ effort ของเรา

    เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง เราแค่ต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง (do the right thing)

    เราสามารถเริ่มได้ด้วยการถามตัวเองว่า:

    What is the one thing you can do today that has the highest leverage?


    🚀 Group 3. How to Grow

    12 ข้อคิดเกี่ยวกับการสร้าง wealth:

    1. Three lanes to wealth
    2. Sidewalk
    3. Slowlane
    4. Slowlane, too slow
    5. Fastlane
    6. CENTS
    7. Control
    8. Entry
    9. Need
    10. Time
    11. Scale
    12. The law of effection

    .

    ข้อ 14. Three lanes to wealth

    การสร้าง wealth มีอยู่ 3 ทาง:

    1. Sidewalk
    2. Slowlane
    3. Fastlane

    .

    ข้อ 15. Sidewalk

    Sidewalk = income + debt

    เป็นการใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน มีเงินเก็บน้อยหรือไม่มีเลย และมีหนี้สินมากขึ้นเรื่อย ๆ

    .

    ข้อ 16. Slowlane

    Slowlane = income + investment

    เป็นการสร้าง wealth ผ่านการทำงานที่มั่นคง ร่วมกับการออมเงินหรือลงทุนเพื่อให้มีเงินใช้หลังเกษียณ

    .

    ข้อ 17. Slowlane, too slow

    การสร้าง wealth แบบ Slowlane ขึ้นอยู่กับเวลา: ถ้าจะหาเงินได้มากขึ้น ก็ต้องใช้เวลามากขึ้น (เช่น ทำ OT) ถ้าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากขึ้น ก็ต้องใช้เวลามากขึ้นเช่นกัน (ดอกเบี้ยทบต้น) ทำให้ Slowlane เป็นการสร้าง wealth ที่ช้าเกินไป

    .

    ข้อ 18. Fastlane

    Fastlane = net profit + asset value

    เป็นการสร้าง wealth โดยสร้าง value ที่มี impact ต่อคนในวงกว้าง

    เช่น แก้ปัญหาให้กับคน 1 ล้านคน แทนที่จะแค่ 100 คน

    .

    ข้อ 19. CENTS

    ธุรกิจแบบ Fastlane ต้องมีลักษณะ 5 อย่าง (CENTS):

    1. Control
    2. Entry
    3. Need
    4. Time
    5. Scale

    .

    ข้อ 20. Control

    Control หมายถึง เราจะต้องสามารถควบคุมธุรกิจของเราได้โดยตรง

    เช่น สามารถตั้งราคาสินค้า/บริการ เพื่อควบคุมกำไรที่ต้องการได้

    เราจะต้องเป็น driver ไม่ใช่แค่ passenger ในธุรกิจของตัวเอง

    .

    ข้อ 21. Entry

    Entry หมายถึง เราควรทำธุรกิจที่คนอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก เพราะจะทำให้มี competition น้อย

    .

    ข้อ 22. Need

    Need หมายถึง ธุรกิจจะต้องตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่จริงในตลาด

    .

    ข้อ 23. Time

    Time หมายถึง ธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้เราโดยไม่ขึ้นอยู่กับเวลา เช่น สร้างรายได้ในขณะที่เรากำลังนอนหลับหรือพักร้อน

    .

    ข้อ 24. Scale

    Scale หมายถึง ธุรกิจจะต้องเติบโตและขยับขยายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในวงกว้างได้

    .

    ข้อ 25. The law of effection

    Wealth = scale * magnitude

    ยิ่งเราแก้ปัญหาให้คนจำนวนมากได้เยอะเท่าไร เราก็ยิ่งสร้าง wealth ได้มากขึ้นเท่านั้น


    🧑‍💼 Group 4. Agency

    8 ข้อคิดเกี่ยวกับการสร้าง agency:

    1. Agency (by Dan Koe)
    2. Agency (by Jonathan Jerkins)
    3. The 5 laws of agency
    4. Control the frame
    5. Energy beats time
    6. Direction beats speed
    7. Externalise cognition
    8. Asymmetry or death

    .

    ข้อ 25. Agency, by Dan Koe

    Agency คือ ความสามารถในการเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเอง แทนการตกเป็นทาสของชะตาชีวิต

    .

    ข้อ 26. Agency, by Jonathan Jerkins

    Agency คือ การเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะชักชวนให้เราออกห่างจากตัวเอง

    Agency is the ability to remain yourself in the conditions designed to pull you away from yourself. — Jonathan Jerkins

    .

    ข้อ 27. The 5 laws of agency

    Agency มีกฎอยู่ 5 ข้อ:

    1. Control the frame
    2. Energy beats time
    3. Direction beats speed
    4. Externalise cognition
    5. Asymmetry or death

    .

    ข้อ 28. Control the frame

    Frame คือ lens ที่เราใช้มองโลกและตีความสถานการณ์ต่าง ๆ

    Agency หมายถึง เราสามารถเลือก frame ในการมองโลกและตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง

    .

    ข้อ 29. Energy beats time

    เวลาเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เราควบคุม energy ที่เราใช้ได้

    Agency หมายถึง เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะทุ่มเทให้กับกิจกรรมไหน และเก็บ energy ไว้สำหรับกิจกรรมไหนบ้าง

    .

    ข้อ 30. Direction beats speed

    ความเร็วไม่มีความสำคัญ ถ้าไม่มีทิศทาง เหมือนกับการขับรถด้วยความเร็วสูง แต่วนเป็นวงกลม

    Agency หมายถึง เราสามารถเลือกทิศทางและความเร็วได้ว่า เราจะขับรถไปทางไหนและด้วยความเร็วเท่าไร

    .

    ข้อ 31. Externalise cognition

    สมองไม่ได้ออกแบบมาให้จดจำ แต่เพื่อคิดและสร้างสรรค์

    Agency หมายถึง เราควรสร้างระบบ (second brain) เพื่อ free up สมอง ให้สมองสามารถคิดและประมวลผลข้อมูลได้อย่างเต็มที่

    .

    ข้อ 32. Asymmetry or death

    เลือกทำกิจกรรมที่ให้ผลลัพธ์มาก และมีผลเสียน้อย

    เช่น ใช้เวลา 4–5 ปีสร้างระบบที่จะช่วยให้เราไม่ต้องทำงานไปอีก 30 ปี


    💪 Group 5. Last Message

    1 ข้อคิดทิ้งท้าย:

    1. One-person business philosophy

    .

    ข้อ 33. One-person business philosophy

    Work less, earn more, enjoy life.


    📚 Sources

    เนื้อหาใน session มาจากหนังสือ 3 เล่มหลัก ได้แก่:

    1. Purpose & Profit
    2. The Millionaire Fastlane
    3. The 5 Laws of Agency

    หนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ถูกพูดถึงใน session ได้แก่:

    1. Dokkōdō
    2. The Company of One
    3. The Almanack of Naval Ravikant

    📄 References

    Miyamoto Musashi:

    Fastlane:

    Agency:

  • The Brain Audit Recap: สรุป 3 กลุ่มประเด็น จากงาน The Brain Audit โดย DataRockie ft. Sean D’Souza: วิธีเอาตัวรอดในยุคใหม่ เคล็ดลับ marketing ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และ Q&A

    The Brain Audit Recap: สรุป 3 กลุ่มประเด็น จากงาน The Brain Audit โดย DataRockie ft. Sean D’Souza: วิธีเอาตัวรอดในยุคใหม่ เคล็ดลับ marketing ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และ Q&A

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุปเนื้อหาจาก The Brain Audit ซึ่งเป็น event พิเศษที่พี่ทอย DataRockie จัดขึ้นร่วมกับ Sean D’Souza เจ้าของ one person business “Psychotactics” ซึ่งสอนทักษะทางธุรกิจ เช่น marketing และ copywriting

    Event นี้ประกอบด้วย 3 sessions:

    1. Survive: แนวคิดในการเอาตัวรอดของคนทำงานในยุคนี้ โดย พี่ทอย
    2. Brain Audit: เคล็ดลับการทำ marketing ให้ลูกค้าซื้อ ซึ่งเป็นเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ The Brain Audit โดย Sean
    3. Q&A: session ถามตอบระหว่าง Sean พี่ทอย และผู้เข้าร่วม

    เราไปดูสรุปเนื้อหาในแต่ละ session กัน


    1. ⚔️ Part 1. Survive (P’Toy)
      1. 🎁 1. Productise Yourself
      2. 🦆 2. Be a Generalist
    2. 🧠 Part 2. Brain Audit (Sean D’Souza)
      1. 🧳 1. The Seven Bags Framework
      2. 🔫 2. Trigger
      3. 🎢 3. Keep the Attention
      4. 💬 4. Language
    3. 🤚 Part 3. Q&A (Sean, P’Toy, & the Audience)
    4. 🍩 Bonus
    5. 🤞 Additional Reading
    6. 📖 Expand Your Knowledge

    ⚔️ Part 1. Survive (P’Toy)

    P’Toy (left): ลงบทความทุกสัปดาห์จนพี่ทอยจำชื่อได้ 😆

    ในส่วนนี้ มีเนื้อหา 2 ประเด็นที่น่าสนใจ:

    1. Productise yourself
    2. Be a generalist

    .

    🎁 1. Productise Yourself

    เป้าหมาย คือ การพัฒนาตัวเอง, ไม่ใช่การหาเงิน

    Productise yourself เป็นแนวคิดในการประสบความสำเร็จของ Naval Ravikant ซึ่งหมายถึง การมองและทำตัวเองให้เป็น product ที่โลกต้องการ

    เช่นเดียวกับ product อย่างมือถือและ AI เราจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสังคม

    ถ้าเราอยากจะอยู่รอด เราควรจะยึดสิ่งนี้เป็นเป้าหมายหลักของเรา มากกว่าการหาเงินให้มากขึ้น

    แม้ในตอนแรกจะฟังดูขัดแย้งกัน แต่จริง ๆ แล้วแนวคิดนี้สอดคล้องกับการเอาตัวรอดในยุคของ AI

    ตัวเรา (หรือจริง ๆ แล้ว คือ สมอง หรือ mind ของเรา) เป็น asset ที่มีค่ามากที่สุด ในการทำงานประจำ (หรืองานออฟฟิศ) เรากำลัง “ขาย” ความรู้และความสามารถที่เรามี ให้กับบริษัทหรือคนที่จ้างงานเรา สิ่งที่เราส่งมอบทำให้ลูกค้าของเราเติบโต และเราก็ได้เงินเป็นค่าตอบแทนกลับมา

    การทำงานแบบนี้ไม่ใช่โมเดลที่ยั่งยืน เพราะ:

    1. คนที่จ้างเราจะเลิกจ้างเราเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะในยุค AI มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ
    2. และที่สำคัญกว่านั้น นอกจากความรู้และความสามารถแล้ว รายได้ของเรายังผูกอยู่กับเวลาที่เราใส่เข้าไป เราจะได้เงินเดือนก็ต่อเมื่อทำงานเต็ม 1 เดือน และถ้าเราหยุดงานในเดือนนั้นไป เราก็จะไม่ได้เงินเดือนมา

    โมเดลรายได้แบบงานประจำ:

    ✅ We + ✅ Time → ✅ Money

    ✅ We + ❌ Time → ❌ Money

    โมเดลทางรอดที่ดีกว่า คือ การใช้สมองของเราสร้าง creative artefact เช่น หนังสือ, โค้ด, วิดีโอ และ asset อื่น ๆ ที่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับโลกและสร้างรายได้ให้เราในระหว่างที่เราหลับ ซึ่งจะช่วยตัดเวลาออกจากสมการรายได้ของเรา:

    We → Creative artefact → Value → Money

    ในโมเดลนี้ ตัวเราเป็นต้นทางของทุกอย่าง ถ้าเราอยากจะได้สร้างรายได้ (money) มากขึ้น เราจะต้องส่งมอบคุณค่า (value) ที่ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงการสร้าง creative artefact ที่ดีขึ้น และตัวเราจะมีความรู้ความสามารถที่มากขึ้น

    เมื่อเรามีความรู้ความสามารถที่มากขึ้นแล้ว creative artefact ก็จะมีคุณภาพมากขึ้น สามารถส่งต่อคุณค่าได้ดีขึ้น และรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

    ดังนั้น ถ้าเราอยากจะอยู่รอดในยุคนี้ เราควรจะโฟกัสกับการพัฒนาตัวเอง มากกว่าการหาเงินให้มากขึ้น เพราะเมื่อเราพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น เงินก็จะตามมาเอง

    Better yourself, not money

    .

    🦆 2. Be a Generalist

    หนทาง คือ การเป็น "เป็ด"

    (Note: ในสรุปส่วนนี้ ผมได้ใส่ข้อมูลและความคิดเห็นเพิ่มเติมลงไปด้วย)

    Generalist คือ การทำตัวเองเป็น “เป็ด” หรือสามารถทำได้หลายอย่าง แต่อาจทำได้ไม่สุดสักอย่าง ซึ่งตรงข้ามกับ specialist หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถเฉพาะด้าน

    ก่อนวันงาน The Brain Audit ไม่กี่วัน CK Cheong ซึ่งเป็น CEO ของ Fastwork ออกมาแสดงความเห็นว่า ความต้องการคนที่เป็นเป็ดกำลังลดลง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกคนมี AI ซึ่งเป็นเป็ดที่เก่งทุกด้านอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว

    มุมมองของ CK Cheong ต่อการเป็น generalist (source: TNN Tech)

    ในมุมนี้ CK Cheong อาจมีส่วนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะถ้าเราดูรายละเอียดประกาศรับสมัครงานต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่า บริษัทต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถอยู่ไม่กี่ด้าน

    ยกตัวอย่างเช่น ประกาศงานตำแหน่ง Data Analyst ของ AIS ที่ต้องการคนที่ทักษะดังนี้:

    • ความรู้เลขและสถิติ
    • การเขียนโค้ดอย่าง SQL
    • เครื่องมือ analytics อย่าง Tableau
    • ความรู้เรื่อง big data
    • ความรู้เรื่อง cloud

    จะเห็นได้ว่า ทักษะที่ AIS ต้องการจำกัดวงอยู่แค่ data analyst คนที่มีความสามารถอื่น ๆ เช่น ตัดต่อวิดีโอ เล่นกีต้าร์ หรือวาดรูป อาจไม่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะไม่ใช่ทักษะที่จะช่วยบริษัทแก้ปัญหาได้ คนเหล่านี้จะยังถูกประเมินตามความสามารถในประกาศงาน และถ้าคนเหล่านี้เป็น “เป็ด” ตามนิยามของ CK Cheong คือ รู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก ก็จะสู้คนที่เป็น specialist ที่รู้ลึกรู้จริงไม่ได้ และมีโอกาสได้งานน้อยกว่า specialist

    อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับพี่ทอยที่เป็น “pro generalist” ว่า การเป็น generalist ยังเป็นทางรอดสำหรับคนทำงานในยุคนี้

    จริงอยู่ว่า ผู้จ้างงานจะมองหา specialist เวลารับสมัครพนักงาน แต่ในมุมมองคนหางานแล้ว เราควรเป็น generalist ด้วยเหตุผล 3 ข้อ:

    ข้อที่ 1. Generalist มีตัวเลือกมากกว่า specialist

    ถ้าเราเก่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว หมายความว่า เราจะรับงานได้เฉพาะงานที่ตรงกับทักษะเดียวของเรา

    ในทางกลับกัน ถ้าเราทำเป็นหลายอย่าง แม้อาจจะไม่เก่งสุดในด้านในด้านหนึ่ง แต่เราก็จะมีตัวเลือกให้เราสมัครงานมากขึ้น

    ข้อ 2. Generalist ชนะใน long run

    แม้ว่า generalist มักจะแพ้ specialist ใน domain ของ specialist เอง (เช่น เขียนโค้ดสู้กับ programmer ไม่ได้) แต่ generalist จะชนะในอีกหลาย ๆ ด้าน เพราะแม้จะรู้ไม่สุด แต่ก็มีความรู้เพียงพอที่จะทำงานให้สำเร็จได้ (เช่น ตัดต่อวิดีโอได้ ทำให้สามารถสร้างเปิดช่อง YouTube ของตัวเองได้)

    ข้อที่ 3. Generalist is a niche

    ที่สำคัญที่สุด การเป็น generalist หมายถึง การสร้างแตกต่างให้กับตัวเอง เพราะเราสามารถ “stack” หรือผสมทักษะต่าง ๆ ที่เรามีอยู่หลากหลาย ให้เกิดเป็นผลงานที่ไม่มีใครเหมือน สร้างความแตกต่างให้กับตัวเรา ทำให้เราไม่ต้องแข่งขันกับใคร

    ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่ประสบความสำเร็จจาก skill stacking:

    • Scott Adams ที่ประสบความสำเร็จจากการ์ตูนตลกเสียดสีสังคมเรื่อง Dilbert ซึ่งเกิดการผสมทักษะการวาดรูป + ความรู้ธุรกิจ + อารมณ์ขัน
    • Dan Koe เจ้าของ one-person business ที่ประสบความสำเร็จจากการสร้าง content โดยผสมทักษะการเขียน + ปรัชญา + ความรู้ธุรกิจ
    • พี่ทอย เจ้าของ DataRockie School ที่เป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจและ generalist (ของแทร่ 555+) ซึ่งสร้างความสำเร็จด้วยการผสมทักษะ data + การเขียน + marketing + และอีกมากมาย
    • Sean D’Souza เจ้าของ Psychotactics ธุรกิจที่ทำด้วยตัวเองและประสบความสำเร็จมายาวนานต่อเนื่อง 25 ปี ด้วยการผสมทักษะวาดการ์ตูน + marketing + การเขียน

    ดังนั้น แม้ว่าสังคมอาจมีความต้องการ generalist น้อยลง แต่การเป็น generalist ยังคงเป็นทางเลือกในการอยู่รอดในปัจจุบัน


    🧠 Part 2. Brain Audit (Sean D’Souza)

    Sean D’Souza (right): ขอลายเซ็น Sean 3 ครั้งในวันเดียวจน Sean จำหน้าได้ 😂

    ในส่วนนี้ Sean มาแชร์ความรู้ในการทำ marketing ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ประเด็น ได้แก่:

    1. The Seven Bags Framework
    2. Trigger
    3. Keep the attention
    4. Language

    .

    🧳 1. The Seven Bags Framework

    ลูกค้าจะซื้อก็ต่อเมื่อได้ข้อมูลครบทุกใบ

    เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ายังไม่ตัดสินใจซื้อ คือ ลูกค้ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอในการตัดสินใจ

    ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ลูกค้าซื้อของ หน้าที่หลักของเรา คือ การให้ข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจกับลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้โดยใช้ The Brain Audit framework ที่มี 7 ส่วน:

    1. Problem
    2. Solution
    3. Target profile
    4. Objection
    5. Testimonials
    6. Risk
    7. Uniqueness

    แต่ละส่วนเปรียบเหมือนกระเป๋าสีแดงบนสายพานในสนามบิน เราจะต้องเอากระเป๋าทั้ง 7 ใบออกมาให้ครบก่อนจะออกจากสนามบินได้ เช่นเดียวกัน เราจะต้องส่งข้อมูล 7 อย่างให้กับลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้

    Seven Red Bags

    ใน session, Sean พูดถึงกระเป๋า 3 ใบแรก ซึ่งเรียกรวมกันว่า trigger (สำหรับใบอื่น ๆ สามารถตามอ่านรายละเอียดกันได้ในหนังสือ The Brain Audit)

    .

    🔫 2. Trigger

    Trigger = Problem + Solution + Target profile

    Trigger คือ สิ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา เพื่อที่เราจะสามารถส่งสารที่เหลือให้กับลูกค้าได้

    Trigger ประกอบด้วยกระเป๋า 3 ใบแรกในสายพานซึ่งได้แก่:

    1. Problem
    2. Solution
    3. Target profile

    ใบที่ 1. Problem หมายถึง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เช่น:

    • ขับรถเล่นอยู่ดี ๆ แล้วถูกตำรวจเรียกให้จอด
    • เดินเล่นอยู่ดี ๆ แล้วเหยียบ dog poop ที่น้องหมาทิ้งไว้
    • ใส่เสื้อสีขาวตัวใหม่ แต่มีอะไรหยดใส่เป็นรอย

    Problem เป็นภาษาของสมอง และเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำพลาด คือ พูดถึงคุณประโยชน์ของ product/service โดยไม่เริ่มจาก problem ซึ่งจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อไม่ได้ เพราะไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง product/service และตัวเอง

    ใบที่ 2. Solution คือ ประโยชน์ที่ product/service เราจะส่งมอบให้เพื่อแก้ปัญหาให้กับลูกค้า

    ใบที่ 3. Target profile คือ profile ของคนคนเดียวใน target audience ของเรา ซึ่งเราจะใช้เป็นต้นแบบในการสร้าง marketing message เพื่อสื่อสารกับลูกค้า

    นั่นคือ แทนที่เราจะเขียน marketing message เพื่อตอบโจทย์คนส่วนมาก เราจะสร้าง message ที่จะส่งถึงคนคนเดียว (target profile) ซึ่งเป็นคนที่มี problem และต้องการ solution ของเรา

    ถ้าเราเจอคนคนนั้นแล้ว ให้เราหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนี้ เช่น ถามถึงปัญหาที่เจอ ทางเลือกที่มี ภาษาที่ใช้ เพื่อที่เราจะสามารถสร้าง marketing message ที่เข้าถึงคนคนนี้ได้ดีที่สุด

    แม้จะฟังดูแปลก แต่การเขียน message เพื่อคนคนเดียวจะช่วยให้เราสร้าง message ได้ง่ายขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะหมายถึงการที่มีคนสนใจ message ของเรามากขึ้น เพราะเราสามารถสื่อสารได้ตรงจุด

    การเขียน marketing message เพื่อให้เป็น trigger จะต้องประกอบด้วยกระเป๋า 3 ใบนี้ เพื่อทำให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา

    ยกตัวอย่างเช่น marketing message ของ solution ที่จะช่วยให้คนน้อยหลับได้ง่ายขึ้น:

    Death of a loved one? Fix insomnia in under 5 minutes.

    • Problem: Insomnia
    • Solution: Fix [insomnia]
    • Target profile: [people with] death of a loved one

    ถ้าลูกค้าเห็น trigger ของเรา และถามว่า:

    • How do you do that? หรือ
    • What do you mean by that?

    แสดงว่า trigger ของเราสามารถดึงความสนใจของลูกค้าได้สำเร็จ และเราสามารถที่จะไป step ถัดไปได้

    เคล็ดลับกระเป๋า 3 ใบ:

    • ถ้าลูกค้าบอกว่า “Interesting” นั่นหมายถึง ลูกค้าไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่ถ้าลูกค้าพูดว่า “Tell me more about it” แสดงว่าเราเรียกความสนใจของลูกค้าได้สำเร็จ
    • ในการสร้าง marketing message เราควรจะเริ่มจาก target profile > problem > solution

    .

    🎢 3. Keep the Attention

    Series of problems + solutions -> Rollercoaster

    เมื่อเราได้ความสนใจจากลูกค้าแล้ว เราจะทำให้ลูกค้าสนใจเราต่อไปได้ยังไง?

    Sean เสนอ framework ง่าย ๆ สำหรับปัญหานี้ นั่นคือ ให้เราพูดถึง problem + solution สลับกันไปเรื่อย ๆ:

    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    Keep the attention: Problem + Solution

    ถ้าเราไม่คอยพูดถึง problem + solution สลับกันไป ลูกค้าของเราก็จะเหมือนกำลังนั่งรถไฟที่วิ่งเอื่อย ๆ ไปบนที่ราบ (และหลับได้ง่าย ๆ)

    ในทางกลับกัน ถ้าเราคอยสื่อสารถึง problem + solution สลับกันไป ลูกค้าก็จะเหมือนกำลังนั่ง rollercoaster และไม่มีทางที่ลูกค้าจะหลับหรือรู้สึกเบื่อเราได้

    Problem + Solution = Rollercoaster

    .

    💬 4. Language

    ลูกค้าจะไม่เข้าใจถ้าเราไม่พูดภาษาลูกค้า

    สุดท้าย ไม่ว่า marketing message จะดีแค่ไหน แต่ลูกค้าเราจะไม่ตอบรับเลยถ้าไม่เข้าใจภาษาของเรา

    Sean ยกตัวอย่างว่า ถ้าเรากำลังยื่นข้อเสนอพักร้อนฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกพันใด ๆ ให้กับลูกค้า ลูกค้ามีโอกาสที่จะไม่ตอบรับได้ ถ้าเรากำลังพูดเป็นภาษาที่ลูกค้าไม่เข้าใจ (เช่น พูดเป็นภาษา Hindi ให้คนไทยฟัง)

    ดังนั้น เราควรใช้ภาษาเดียวกับลูกค้าในการทำ marketing อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ สิ่งที่เราใส่ลงไปใน marketing message ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเช่นกัน

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีรถ 2 คันซึ่งมีทุกอย่างเหมือนกันยกเว้นราคา:

    • คันที่ 1: $35,000
    • คันที่ 2: $18,000
    Which would you buy? $35,000 or $18,000 cars?

    หลายคนก็เลือกที่จะซื้อคันที่ 2 จนกระทั่งคนขายบอกว่าคันที่ 2 เป็นรถที่ถูกขโมยมา ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะหันไปเลือกคันที่ 1 ซึ่งมีราคาแพงกว่าเท่าตัว


    🤚 Part 3. Q&A (Sean, P’Toy, & the Audience)

    Result > information

    ใน session ถามตอบ มี 6 หัวคิดที่น่าสนใจ:

    1. ลูกค้าที่สำคัญที่สุด คือ ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ เราจะต้องทำให้ลูกค้ากลับมาซ้ำโดยการให้ result ไม่ใช่ให้ information เพราะในยุคของ AI ลูกค้าสามารถหา information ได้ง่ายมาก แต่น้อยคนที่จะให้ result กับลูกค้าได้
    2. Talent คือ การทำผิดให้น้อยลง และ learning คือ การสร้างความผิดพลาด (อ้างอิงหนังสือ Suddenly Talented)
    3. ถ้าเราไม่เก่ง AI ก็จะเก่งกว่าเรา แต่ถ้าเราเก่ง AI ก็จะไม่ค่อยมีประโยชน์
    4. การเขียน คือ การคิด (writing is thinking) เราควรจะฝึกเขียนทุกวันเพื่อพัฒนากระบวนการคิดให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
    5. มองหา “good teacher” ไม่ใช่ “fast teacher” เพราะ “good teacher” คือ คนที่จะให้ result กับเราได้
    6. เริ่มต้นจากการโฟกัสไปที่ลูกค้าคนเดียวของเรา ถ้าเราหาลูกค้าคนนี้เจอ เราก็จะหาลูกค้าอีก 1,000 คนได้
    ภาพบรรยากาศงาน The Brain Audit (source: Kasidis Satangmongkol)

    🍩 Bonus

    ในอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ช่วงท้ายงาน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ทอยในระหว่างเซ็นหนังสือ มี 3 ประเด็นที่พี่ทอยแชร์ให้ฟังเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์และการใช้ชีวิต:

    1. ถ้าจะสร้างตัวในโลกออนไลน์ เราควรสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะถ้าเราฝากตัวไว้กับ platform อื่น (เช่น Facebook) online presence เราจะเปลี่ยนไปเมื่อไรก็ได้ เพราะ algorithm ของ platform สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ
    2. เมื่อเราได้ traffic เข้ามาในหน้าเว็บของเราแล้ว เราควรจะ direct traffic ไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งที่นั้นควรเป็น product/service ของเรา (ตั้งแต่วันแรกที่มีเว็บไซต์ Sean ก็มีหนังสือ The Brain Audit ควรรับ traffic อยู่แล้ว)
    3. ไม่มีใครรู้ว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

    🤞 Additional Reading

    อ่านสรุปไอเดียเพิ่มเติมจาก event ได้ที่:


      📖 Expand Your Knowledge

      สำหรับที่คนสนใจติดตามไอเดียเพิ่มเติมจากหนังสือที่พูดถึงในบทความนี้ สามารถซื้อหาหนังสือได้ตาม link ด้านล่าง:

      • The Brain Audit ของ Sean D’Souza: framework กระเป๋า 7 ใบในการทำ marketing ให้ลูกค้าซื้อ
      • The Almanack of Naval Ravikant ของ Eric Jorgenson: รวมข้อคิดเกี่ยวกับ wealth และ happiness ของ Naval Ravikant นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในบริษัทอย่าง Uber, X (Twitter), และ FourSquare
      • Suddenly Talented ของ Sean D’Souza: แนวคิดการทำตัวให้เก่งในระดับที่เข้าถึงได้ (ใครที่อยากวาดรูปวาฬเป็น ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู 🐳)

      Note: