Tag: บุคลิกภาพด้านมืด

  • ตัวแทนแห่งแสง: สามเหลี่ยมด้านสว่าง

    ตัวแทนแห่งแสง: สามเหลี่ยมด้านสว่าง

    1. Light Triad
    2. ด้านสว่าง? หรือแค่ไม่ดาร์ก?
    3. อนาคตของแสงสว่าง
    4. อ้างอิง
    5. ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    👉 ในตอนที่แล้ว (Eps. 2–4) เราดำดิ่งไปกับบุคลิกภาพด้านมืด (dark personality) โดยโฟกัสไปที่ลักษณะด้านมืด 3 ตัว ที่เรียกรวมกันว่า Dark Triad (Machiavellianism หรือ Mach, narcissism, psychology; Paulhus & Williams, 2002) ซึ่งสะท้อนให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ที่มีจุดเด่น คือ จอมบงการ (manipulativeness) และไร้ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น (callousness; Jones & Figueredo, 2013; Paulhus, 2014)

    ในบทความนี้ เราจะมาดูบุคลิกภาพอีกปลายสุดของอุโมงค์ ซึ่งจะตอบคำถามว่า ถ้า Dark Triad เป็นตัวแทนความมืดแล้ว อะไรคือตัวแทนแห่งแสงของมนุษย์?


    Light Triad

    คำถามนี้เป็นคำถามที่ตั้งขึ้นโดย Kaufman และคณะ (2019) ซึ่งมองว่า การเข้าใจจิตใจมนุษย์ ควรทำบนฐานของการมององค์รวมที่ให้น้ำหนักทั้งด้านมืดละด้านสว่างของมนุษย์

    เพื่อค้นหาขั้วตรงข้ามของด้านมืด Kaufman และคณะทำการพัฒนาแบบวัดทางจิตวิทยา (psychological measure) เพื่อตรวจจับลักษณะด้านสว่างของมนุษย์

    ในการพัฒนาแบบวัด กลุ่มนักวิจัยใช้แบบวัด Dark Triad ต่าง ๆ ที่มีเป็นจุดอ้างอิงในการสร้างข้อคำถาม (item) โดยออกแบบข้อคำถามให้มีเนื้อหาตรงข้ามกับแบบวัด Dark Triad

    เช่น ถ้าข้อคำถามในแบบวัดเขียนว่า “ฉันไม่สนใจคนอื่น” กลุ่มนักวิจัยจะสร้างข้อคำถามว่า “ฉันใส่ใจคนอื่น”

    หลังจากนั้น Kaufman และคณะใช้ข้อคำถามเหล่านี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและนำมาวิเคราะห์เพื่อระบุตัวแปร (factor analysis) ซึ่งผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะด้านสว่างของมนุษย์ที่แสดงออกผ่านข้อคำถามเหล่านี้ มี 3 ด้าน ได้แก่

    1. Faith in Humanity: ความเชื่อในความดีของมนุษย์
      • ตัวอย่างข้อคำถาม เช่น “ฉันมักเห็นข้อดีของคนอื่น (I tend to see the best in people)”
    2. Humanity: การเคารพในเกียรติและคุณค่าของแต่ละปัจเจกบุคคล
      • ตัวอย่างข้อคำถาม เช่น “ฉันมักชื่นชมคนอื่น (I tend to admire others)”
    3. Kantianism: ความโน้มเอียงที่จะช่วยเหลือเพื่อมนุษย์เพื่อการกระทำนั้น ๆ เอง และไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์อื่นใด
      • ตัวอย่างข้อคำถาม เช่น “ฉันพยายามจะทำตัวจริงใจ แม้ว่าการทำอย่างนั้นอาจสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของฉันก็ตาม (I would like to be authentic even if it may damage my reputation)”

    ด้านสว่าง? หรือแค่ไม่ดาร์ก?

    นอกจากระบุบุคลิกภาพทั้งสามตัวแล้ว Kaufman และคณะ (2019) ยังได้เก็บข้อมูลลักษณะความแตกต่างระหว่างบุคคลอื่น ๆ เช่น บุคลิกภาพ คติ (attitude) ความต้องการ (need) และแรงจูงใจ (motive) เพื่อแยกด้านสว่างออกจากด้านมืดอย่างชัดเจน

    นั่นคือ Kaufman และคณะต้องการข้อมูลที่จะสนับสนุนว่า Light Triad ไม่ได้เป็นเพียงด้านกลับของ Dark Triad เพราะหาก Light Triad เป็นเพียงขั้วตรงข้ามของ Dark Triad นักจิตวิทยาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ Light Triad ในการเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ เพราะสามารถใช้การกลับด้านคะแนน (reversed-scoring) ของ Dark Triad แทนได้

    (เช่น สามารถเข้าใจได้ว่า คนไม่ทำชั่ว เพราะมี Dark Triad ต่ำ โดยไม่ต้องรู้ว่ามี Light Triad หรือไม่)

    ผลการวิเคราะห์ของ Kaufman และคณะชี้ให้เห็นว่า แม้ Light Triad จะเกิดมาจากการอ้างอิงข้อคำถามของ Dark Triad แต่ Light Triad เป็นมากกว่าขั้วตรงข้ามของ Dark Triad ด้วย 2 เหตุผล

    1. Light Triad และ Dark Triad มีความสัมพันธ์กันทางสถิติในระดับปานกลาง ซึ่งถ้าบุคลิกภาพทั้งสองกลุ่มเป็นลักษณะเดียวกัน ก็ควรจะมีความสัมพันธ์ทางสถิติในระดับสูง
    2. Light Triad มีความสัมพันธ์กับลักษณะความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ไม่เหมือนกับ Dark Triad

    ยกตัวอย่างเช่น Dark Triad มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแรงจูงใจที่เกี่ยวกับอำนาจ (power) และการมีความสัมพันธ์กับคนอื่น (affiliation) แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับความใกล้ชิด (intimacy) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Dark Triad มักมีแรงจูงใจที่จะเข้าหาคนอื่นเพื่อเข้าใช้อิทธิพลเหนือคนอื่น และไม่สนใจความใกล้ชิดกับคนอื่น

    ในตรงกันข้าม Light Triad ไม่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจเกี่ยวกับอำนาจ แต่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีความสัมพันธ์กับคนอื่นและความใกล้ชิด ชี้ให้เห็นว่า Light Triad มักมีแรงจูงใจการเข้าหาคนอื่นเพื่อสร้างความผูกพันมากกว่าเพื่อใช้อำนาจ ซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมของ Dark Triad

    นอกจากนี้ งานวิจัยของ Kaufman และคณะ ยังได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยอื่นที่ให้ผลไปในทิศทางเดียว

    เช่น Lukić และ Živanović (2021) แสดงให้เห็นว่า Dark Tetrad (Dark Triad + sadism; Paulhus, 2014) สามารถอธิบายความแปรปรวน (variance) ของ Light Triad ได้ไม่เกิน 1 ใน 4

    ซึ่งทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า Light Triad เป็นด้านสว่างที่ไม่ใช่เพียงความไม่ดาร์ก


    อนาคตของแสงสว่าง

    จะเห็นได้ว่า Light Triad เป็นบุคลิกภาพด้านสว่างที่ตรงข้ามกับ Dark Triad

    1. Faith in Humanity ที่เชื่อในความดีของมนุษย์ ตรงข้ามกับ Mach ที่มองโลกว่า มนุษย์ทุกคนเป็นคนเลว (Monaghan et al., 2020)
    2. Humanity ที่เคารพในเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ตรงข้ามกับ narcissism ที่มักแสดงตัวเองดีกว่าคนอื่น (Hart et al., 2019)
    3. Kantianism ที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ตรงข้ามกับ psychopathy ที่การช่วยเหลือคนอื่นอาจเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อหลอกใช้คนอื่น และไม่ได้สะท้อนถึงความจริงใจที่จะช่วย

    แม้ว่า จะมีงานวิจัยที่ชี้ว่า Light Triad เป็นมากกว่าด้านตรงข้ามกับ Dark Triad แต่เพราะเป็นบุคลิกภาพที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ นักจิตวิทยาจึงยังต้องทำการวิจัยอีกมาก เพื่อจะเข้าใจ Light Triad ได้อย่างถ่องแท้

    Lukić และ Živanović (2021) เสนอแนวทางที่น่าสนใจสำหรับงานวิจัยในอนาคต 2 ทาง ได้แก่

    1. ค้นหาลักษณะด้านสว่างอื่น ๆ: เพราะ Light Triad ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีทฤษฎีรองรับ และยังถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากบุคลิกภาพด้านมืดเพียง 3 ตัว (Dark Triad) ซึ่งทำให้ลักษณะที่ได้มาไม่ครอบคลุมด้านสว่างทั้งหมดของมนุษย์ งานวิจัยในอนาคตจึงอาจค้นหาบุคลิกภาพด้านสว่างอื่น ๆ ที่จะช่วยเสริม Light Triad ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์
    2. ค้นหาความสัมพันธ์ระหว่าง Light Triad และลักษณะเชิงบวกอื่น ๆ: อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า Light Triad ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่มีทฤษฎีใด ๆ รองรับ ความสัมพันธ์ระหว่าง Light Triad และลักษณะเชิงบวกอื่น ๆ เช่น ความเห็นแก่ผู้อื่น (altruism) จึงไม่มีความชัดเจน และมีความเป็นไปได้ว่า Light Triad อาจจะแตกต่างหรือเหมือนกับลักษณะเชิงบวกต่าง ๆ ที่นักจิตวิทยาเคยค้นพบมาแล้วก็ได้ ดังนั้น งานวิจัยในอนาคตอาจศึกษา Light Triad พร้อมกับลักษณะเชิงบวกอื่น ๆ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหล่านี้

    อ้างอิง

    Hart, W., Breeden, C. J., & Richardson, K. (2019). Differentiating dark personalities on impression management. Personality and Individual Differences, 147, 58–62. https://doi.org/10.1016/j.paid.2019.04.030

    Jones, D. N., & Figueredo, A. J. (2013). The core of darkness: Uncovering the heart of the Dark Triad. European Journal of Personality, 27(6), 521–531.

    Kaufman, S. B., Yaden, D. B., Hyde, E., & Tsukayama, E. (2019). The light vs. Dark Triad of personality: Contrasting two very different profiles of human nature. Frontiers in Psychology, 10, Article 467. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2019.00467

    Lukić, P., & Živanović, M. (2021). Shedding light on the Light Triad: Further evidence on structural, construct, and predictive validity of the Light Triad. Personality and Individual Differences, 178, 110876.

    Monaghan, C., Bizumic, B., Williams, T., & Sellbom, M. (2020). Two-dimensional Machiavellianism: Conceptualization, theory, and measurement of the views and tactics dimensions. Psychological Assessment, 32(3), 277–293. https://doi.org/10.1037/pas0000784

    Paulhus, D. L. (2014). Toward a taxonomy of dark personalities. Current Directions in Psychological Science, 23(6), 421–426.

    Paulhus, D. L., & Williams, K. M. (2002). The Dark Triad of personality: Narcissism, Machiavellianism and psychopathy. Journal of Research in Personality, 36(6), 556–563.

    Smith, M. B., Hill, A. D., Wallace, J. C., Recendes, T., & Judge, T. A. (2018). Upsides to dark and downsides to bright personality: A multidomain review and future research agenda. Journal of Management, 44(1), 191–217.


    บทความต้นฉบับจาก https://www.blockdit.com/posts/64daed4b93a06db3f2d2b61b


    ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    📕 ขอฝากหนังสือเล่มแรกในชีวิตด้วยนะครับ 😆

    🙋 ใครที่กำลังเรียนจิตวิทยาหรือทำงานสายจิตวิทยา และเบื่อที่ต้องใช้ software ราคาแพงอย่าง SPSS และ Excel เพื่อทำข้อมูล

    💪 ผมขอแนะนำ R Book for Psychologists หนังสือสอนใช้ภาษา R เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยา ที่เขียนมาเพื่อนักจิตวิทยาที่ไม่เคยมีประสบการณ์เขียน code มาก่อน

    ในหนังสือ เราจะปูพื้นฐานภาษา R และพาไปดูวิธีวิเคราะห์สถิติที่ใช้บ่อยกัน เช่น:

    • Correlation
    • t-tests
    • ANOVA
    • Reliability
    • Factor analysis

    🚀 เมื่ออ่านและทำตามตัวอย่างใน R Book for Psychologists ทุกคนจะไม่ต้องพึง SPSS และ Excel ในการทำงานอีกต่อไป และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองได้ด้วยความมั่นใจ

    แล้วทุกคนจะแปลกใจว่า ทำไมภาษา R ง่ายขนาดนี้ 🙂‍↕️

    👉 สนใจดูรายละเอียดหนังสือได้ที่ meb:

  • 11 บุคลิกภาพมืดของผู้นำ

    11 บุคลิกภาพมืดของผู้นำ

    1. Axis II Approach
    2. กลุ่มที่ 1: Move Away
      1. Excitable
      2. Skeptical
      3. Cautious
      4. Reserved
      5. Leisurely
    3. กลุ่มที่ 2: Move Against
      1. Arrogant
    4. กลุ่มที่ 3: Move Toward
      1. Diligent
      2. Dutiful
    5. สรุป 11 ด้านมืดของผู้นำ
    6. อ้างอิง
    7. ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    👉 ในบทความก่อนหน้า (Eps. 3, 4) เราได้พูดถึงบุคลิกภาพด้านมืด (dark personality) หรือบุคลิกภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ทางสังคม และอิทธิพลของลักษณะเหล่านี้ในบริบทต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างจากที่ Dark Triad (Machiavellianism หรือ Mach, narcissism, และ psychopathy; Paulhus & Williams, 2002) ซึ่งเป็นบุคลิกภาพด้านมืด 3 อย่างที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักจิตวิทยา

    แต่ในการศึกษาบุคลิกภาพด้านมืด ยังมีอีกกรอบแนวคิดที่ได้รับความสนใจทั้งในงานวิจัยและการพัฒนาศักยภาพผู้นำในองค์กร

    กรอบแนวคิดนี้ คือ Axis II approach


    Axis II Approach

    Axis II approach มีความน่าสนใจ เพราะเป็นการศึกษาบุคลิกภาพด้านมืดที่อ้างอิงกรอบแนวคิดของความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (personality disorder) ตาม Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) ซึ่งเป็นคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตของนักจิตวิทยา

    นักจิตวิทยาที่มักได้รับการกล่าวถึงเมื่อพูดถึง Axis II approach คือ Robert Hogan และ Joyce Hogan ผู้เชี่ยวชาญบุคลิกภาพในที่ทำงาน เจ้าของบริษัท Hogan Assessments (www.hoganassessments.com) และผู้พัฒนา Hogan Development Survey (HDS) ซึ่งเป็นแบบประเมินบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้านของ Axis II approach ซึ่งใช้การคัดเลือกและพัฒนาบุคลากรและผู้นำ

    Hogan และ Hogan (2001, 2009; Hogan et al., 2011) ให้ความสนใจบุคลิกภาพด้านมืดจากการศึกษาเพื่อค้นหาสาเหตุของความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ (leadership failure หรือ leadership derailment) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ 50 ถึง 75% ของผู้นำทั้งหมด (Hogan et al., 2011)

    Hogan และ Hogan เชื่อว่า ผู้นำที่ขาดประสิทธิภาพเกิดจากการมีลักษณะที่ไม่ดี (บุคลิกภาพด้านมืด) มากกว่าขาดลักษณะที่ดี (บุคลิกภาพด้านสว่าง) ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า บุคลิกภาพด้านมืดที่เกี่ยวข้องกับการขาดประสิทธิภาพของผู้นำมีความคล้ายคลึงกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพของ DSM*

    จากความคล้ายคลึงนี้ Hogan และ Hogan จึงใช้ความผิดปกติทางบุคลิกภาพของ DSM (ซึ่งจัดอยู่ใน Axis II ของคู่มือ) ในการนิยามบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้าน โดย

    1. เน้นไปที่ลักษณะเฉพาะของความผิดปกติทางบุคลิกภาพแต่ละตัว และตัดลักษณะที่ซ้ำซ้อนกันออก เช่น ในการนิยามบุคลิกภาพด้านมืดจาก narcissistic personality disorder หรือความหลงตัวเอง ก็เลือกเฉพาะความหลงตัวเองมา และตัดความไม่ใส่ใจคนอื่น (lack of empathy) ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพอื่น ๆ ออก
    2. ปรับนิยามให้เข้ากับบริบทของการทำงาน (ระบุลักษณะที่ไม่ดีของผู้นำ) แทนบริบทของจิตวิทยาคลินิก (การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต)
    3. ปรับนิยามให้เข้ากับประชากรทั่วไป (พฤติกรรมด้านลบของคนทั่วไป) แทนคนที่มีความผิดปกติทางจิต (พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต สังคม และการทำงานในระดับที่เข้าข่ายความผิดปกติทางจิต)
    4. ปรับให้เป็นนิยามแบบมิติ (dimension) แทนกลุ่ม (category) ซึ่งหมายถึง ทุกคนหนึ่งสามารถมีบุคลิกภาพด้านมืดได้มากกว่า 1 ด้าน (ตรงข้ามกับการวินิจฉัยความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ 1 คนจะมีได้ 1 ลักษณะหลัก)

    ตามมุมมของ Hogan และ Hogan บุคลิกภาพด้านมืดมีในตัวทุกคน และคนส่วนใหญ่สามารถควบคุมด้านมืดของตัวเองไว้ได้ แต่บางครั้ง ในสถานการณ์ที่เหนื่อย เบื่อ เครียด หรือมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน (เช่น มี process การทำงานที่ไม่ชัดเจน หรือการทำงานมี visibility ต่ำ) บุคลิกภาพด้านมืดเหล่านี้มีโอกาสที่จะแสดงตัวออกมาและสร้างความเสียหายได้ (ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า ทำไม CEO หลายคนถึงหลุดจากตำแหน่งเวลาเจอกับวิกฤตต่าง ๆ)

    บุคลิกภาพด้านมืดทั้ง 11 ด้าน จับกันได้เป็น 3 กลุ่ม ซึ่งคล้ายกับแนวคิดความโน้มเอียงทางสังคมที่ไม่มีประสิทธิภาพ (flawed interpersonal tendencies) ของนักจิตวิเคราะห์ (psychoanalyst) ชาวเยอรมัน Horney (1950) ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม 11 บุคลิกภาพมีลักษณะดังนี้ (Hogan & Hogan, 2001, 2009; Hogan et al., 2011)


    กลุ่มที่ 1: Move Away

    ลักษณะของบุคลิกภาพในกลุ่มนี้ คือ พฤติกรรมที่ตีตัวออกห่างจากคนอื่น (move away) ซึ่งประกอบด้วย 5 บุคลิกภาพ

    Excitable

    (เทียบได้กับ borderline personality disorder ของ DSM ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์และพฤติกรรม เวลาหนึ่งรักใคร่คนอื่นดี อีกเวลาด้อยค่า ขับไล่ไสส่งคนอื่น)

    บุคลิกภาพนี้มีความเชื่อลึก ๆ ที่ว่า ตัวเองจะต้องผิดหวังในความสัมพันธ์กับคนอื่น จึงมักตีความพฤติกรรมของคนอื่นไปในทางลบ (เช่น เชื่อว่าคนอื่นปฏิเสธหรือปฏิบัติกับตัวเองไม่ดี) และเมื่อ “คิด” ว่าถูกปฏิเสธ ก็มักจะตอบสนองอย่างรุนแรง (เช่น ตะโกนขับไล่)

    ข้อดีของบุคลิกภาพนี้ คือ เข้าใจคนอื่นเพราะเป็นคนที่รู้ว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม แต่ข้อเสีย คือ เป็นคนเอาใจยาก อารมณ์เสียง่าย อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ และสนใจใครหรืองานไม่ได้นาน

    (ถ้านึกภาพบุคลิกภาพนี้ ก็คงเป็นหัวหน้าที่ชอบใช้อารมณ์และด่าทอลูกน้องบ่อย ๆ)

    Skeptical

    (เทียบได้กับ paranoid personality disorder ของ DSM ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความหวาดระแวงที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง)

    บุคลิกภาพนี้คิดว่า ตัวเองจะถูกทรยศหลอกหรือทรยศหักหลังได้ตลอดเวลา จึงมักไว้ใจคนอื่นยาก แต่เมื่อไว้ใจแล้วก็มักจะมีความซื่อสัตย์สูง

    คนเหล่านี้มักอ่านคนเก่งและรู้ลึกในเรื่องการเมืองขององค์กร แต่ข้อเสีย คือ อ่อนไหวต่อการถูกหักหลัง แค่เมื่อ “รู้สึก” ว่ากำลังโดนคนอื่นทรยศ ก็จะตีตัวออกห่างและโจมตีคนอื่น (เช่น ต่อว่าหรือกล่าวหาคนอื่น)

    (เทียบแล้วก็คือ หัวหน้าที่มักระแวงตลอดเวลาว่า ลูกน้องจะเลื่อยขาเก้าอี้ หัวหน้าฝ่ายอื่นจะกลั่นแกล้ง และผู้บริหารจะบีบให้ลาออก)

    Cautious

    (เทียบได้กับ avoidant personality disorder ของ DSM ที่มีลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงสังคม เพราะกลัวว่าจะทำอะไรผิดและทำให้ตัวเองขายหน้าหรือถูกต่อว่า)

    บุคลิกภาพนี้มีความกลัวที่จะถูกคนอื่นวิจารณ์หรือต่อว่า จึงมักเลี่ยงความเสี่ยงต่าง ๆ และทำงานอย่างละเอียดและรอบคอบตามกฎเกณฑ์หรือขั้นตอนที่เคยเห็นมาแล้วว่าดี จนทำให้เสียโอกาสในการสร้างนวัตกรรมหรือการทำสิ่งใหม่ ๆ

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ยึดแต่วิธีการทำงานเดิม ๆ แม้ว่าจะเห็นอยู่ว่า การทำงานจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงก็ตาม)

    Reserved

    (เทียบได้กับ schizoid personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ ความไร้อารมณ์)

    บุคลิกภาพนี้เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง และไม่ไวต่อความคิด ความรู้สึก หรือกระแสสังคมรอบข้าง

    ข้อดี คือ ทนต่อการเมืองในองค์กร สามารถรับคำวิจารณ์ คำด่าทอจากคนอื่นได้โดยไม่หวั่นไหว แต่ข้อเสีย คือ ไม่ไวต่อความต้องการของคนอื่น ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญของผู้นำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้ตามต้องการที่พึงทางจิตใจ

    (หัวหน้าที่มีบุคลิกภาพนี้น่าจะเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสภาพการณ์รอบข้าง ไม่ว่าลูกน้องจะเครียดจากงานขนาดไหน ไม่ว่าการเมืองในองค์กรจะเป็นยังไง ไม่ว่าใครจะไม่ถูกกับใคร หัวหน้าคนนี้ก็ไม่รับรู้ หรือรับรู้แต่ไม่สนใจ)

    Leisurely

    (เทียบได้กับ passive-aggressive personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ การต่อต้านในทางอ้อม)

    ลักษณะเด่นของบุคลิกภาพนี้ คือ เป็นคนที่มองดูเหมือนคนที่ให้ความร่วมมือกับคนอื่นดี แต่แท้จริงแล้วมักมองว่าคนอื่นมีหวังร้าย และเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกคนอื่นกำลังเอาเปรียบอยู่

    บุคลิกภาพนี้มักเป็นคนดื้อดัน ไม่ยอมทำตามคนอื่น ถ้าถูกขอหรือถูกกดดันให้ทำงานเพิ่มจากที่ทำอยู่ ก็มักจะเอาเท้าราน้ำ เช่น แกล้งทำงานช้าลง แกล้งทำงานพลาด หรือแกล้งทำเป็นลืม

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่เชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง และถ้าใครมองให้ทำอะไรหรือช่วยอะไร ก็จะไม่ทำ แกล้งทำเป็นลืม แกล้งให้อย่างช้า ๆ หรือแกล้งทำให้งานถอยหลังมากกว่าเดินหน้า)


    กลุ่มที่ 2: Move Against

    บุคลิกภาพในกลุ่มนี้มีลักษณะร่วมกัน คือ พฤติกรรมต่อต้านคนอื่น (move against) ประกอบด้วย 4 บุคลิกภาพ

    Arrogant

    (เทียบได้กับ narcissistic personality disorder ของ DSM หรือบุคลิกภาพหลงตัวเอง)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า ตัวเองจะเป็นที่ชื่นชอบและจะได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นเป็นพิเศษ รวมทั้งมีความมั่นใจเกินตัว

    ข้อดีของบุคลิกภาพนี้ คือ ดูมีความมั่นใจ ดูเป็นผู้นำ กล้าที่จะเสนอตัวเพื่อทำให้งานเดินหน้า แต่ข้อเสีย คือ เป็นคนหยิ่ง เห็นแก่ตัว และเรียกร้องความสนใจ

    (เปรียบได้กับหัวหน้าที่ดีแต่พูด แต่ทำไม่ได้จริง และมักเรียกร้องความเคารพและการปฏิบัติที่ดีจากลูกน้องและคนรอบข้าง)

    Mischievous

    (เทียบได้กับ antisocial personality disorder ของ DSM ซึ่งลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมต่อต้านสังคม)

    บุคลิกภาพนี้เชื่อว่า ตัวเองอยู่เหนือกฎระเบียบ และสนุกกับการหลอกใช้หรือเอาผลประโยชน์จากคนอื่น

    ข้อดี คือ เป็นคนที่ดูมีความมั่นใจ ชอบความท้าทาย กล้าได้กล้าเสีย แต่ข้อเสีย คือ หุนหันพลันแล่น มักทำอะไรโดยไม่คิดให้ดีก่อน จอมบงการ มักใช้ประโยชน์จากคนอื่น

    (บุคลิกภาพนี้อาจะเป็นหัวหน้าที่มีพูดจาดีน่าฟัง แต่เป็นคนที่รับมากกว่าให้ และมักทำอะไรตามอารมณ์)

    Colorful

    (เทียบได้กับ histrionic personality disorder ของ DSM ซึ่งลักษณะเด่น คือ พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า ตัวเองจะเป็นจุดสนใจของคนอื่น จึงมีพฤติกรรมที่หวือหวาเฮฮา ชอบดราม่า เล่นใหญ่ ชวนให้คนอื่นสนใจ

    ข้อดี คือ เป็นคนที่สนุกสนาน เป็นสีสันให้กับที่ทำงาน แต่ข้อเสีย คือ มักพูดหรือทำอะไรเกินจริงและหยิบจับอะไรไม่ได้นาน

    (อาจจะเทียบได้กับหัวหน้าที่เอาแต่เล่นใหญ่ เล่นตลก หรือทำเหมือนกำลังอยู่ในปาร์ตี้ทั้งวันจนไม่ได้งาน)

    Imaginative

    (เทียบได้กับ schizotypal personality disorder ของ DSM ซึ่งจุดเด่น คือ การมีพฤติกรรมและความเชื่อแปลก ๆ เช่น เชื่อว่าคลื่นทีวีล้างสมองคนได้)

    บุคลิกภาพนี้มีความคิดความอ่านที่แปลกและไม่เหมือนใคร ซึ่งทำให้เป็นคนที่ดูมีความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม มองการณ์ไกล แต่ข้อเสีย คือ มักจบอยู่กับความคิดของตัวเองจนลืมคนและสภาพความเป็นจริงรอบข้าง

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่ใช้เวลาส่วนใหญ่คิดเพ้อฝัน มีความคิดยิ่งใหญ่มากมายที่ทำไม่ได้จริง)


    กลุ่มที่ 3: Move Toward

    กลุ่มสุดท้ายเป็นบุคลิกภาพที่เข้าหาคนอื่น (move toward) ซึ่งถ้าดูผิวเผินอาจจะดูไม่เหมือนบุคลิกภาพด้านมืด แต่ทั้ง 2 บุคลิกภาพนี้ในกลุ่มนี้สามารถส่งผลด้านลบต่อการทำงานและคนรอบข้างได้เช่นเดียวกับ 2 กลุ่มที่ผ่านมา

    Diligent

    (เทียบได้กับ obsessive-compulsive personality disorder ของ DSM หรือบุคลิกภาพย้ำคิดย้ำทำ)

    บุคลิกภาพนี้คาดหวังว่า คนอื่นจะประเมินงานของตัวเองอย่างละเอียดทุกซอกมุม จึงเป็นคนที่มีวิธีการทำงานที่เคร่งคัดและมาตรฐานการทำงานที่สูงลิบ รวมทั้งคาดหวังให้คนอื่นมีวิธีการและมาตรฐานเดียวกับตัวเอง ซึ่งอาจทำให้คนอื่นอึดอัดและทำงานด้วยยาก

    ข้อดี คือ ขยัน ละเอียด ทำงานถูกต้องเรียบร้อย แต่ข้อเสีย คือ มัก micro-manage คือ ติดตามการทำงานของคนอื่นทุกฝีก้าว ไม่ปล่อยให้ทำงานอย่างอิสระ จนอาจทำให้เสียความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องได้

    (เทียบได้กับหัวหน้าที่เป็น perfectionist ยึดมั่นในกฎระเบียบหรือวิธีจนเกินไป และคอยจี้ คอยเพ่งเล็งการทำงานของลูกน้องทุกลมหายใจ)

    Dutiful

    (เทียบได้กับ dependent personality disorder ของ DSM ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่เชื่อว่า ตัวเองไม่สามารถเชื่อเหลือตัวเองได้ และจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่พึงพาคนอื่น)

    บุคลิกภาพนี้มีความคาดหวังสูงกับการเป็นที่ยอมรับและเข้ากับคนอื่นได้ จึงมักมีพฤติกรรมที่คอยทำให้คนอื่นพอใจและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง การเผชิญหน้า หรือตอบปฏิเสธคนอื่น

    ข้อดี คือ ดูเป็นคนใจดี เพราะคอยทำตามความต้องการของคนอื่น แต่ข้อเสีย คือ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะคอยดูว่าคนอื่นจะคิดยังไงและจะทำยังไงให้คนอื่นถูกใจที่สุด

    (อาจเทียบได้กับหัวหน้าที่เป็นห่วงความรู้สึกของทุกคนไปหมด จนตัดสินใจหรือทำงานต่อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ทุกคนพอใจได้พร้อม ๆ กันหมด)


    สรุป 11 ด้านมืดของผู้นำ

    บุคลิกภาพด้านมืดของ Axis II approach เป็น 11 ลักษณะด้านมืด (3 กลุ่ม) ที่อ้างอิงมาจากความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ระบุใน DSM เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมด้านลบในที่ทำงาน โดยเฉพาะลักษณะของผู้นำที่ขาดประสิทธิภาพ

    1. Move away: กลุ่มตีตัวออกห่าง
      • Excitable: หัวร้อน หงุดหงิดง่าย ชอบโวยวาย
      • Skeptical: ขี้ระแวง ไม่เชื่อใจคนอื่น
      • Cautious: กลัวผิดกลัวพลาด ขี้ระมัดระวัง
      • Reserved: เงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง
      • Leisurely: ดื้อ ปากพูดดีแต่ตัวทำอีกอย่าง
    2. Move against: กลุ่มต่อต้านคนอื่น
      • Bold: หลงตัวเอง เรียกร้องการปรนนิบัติจากคนอื่น
      • Mischievous: ชอบเสี่ยง หลอกลวง เล่นกับกฎระเบียบ
      • Colorful: หวือหวา เล่นใหญ่ ชอบดราม่า
      • Imaginative: เพ้อฝัน คิดใหญ่
    3. Move toward: กลุ่มเข้าหาคนอื่น
      • Diligent: perfectionist, micro-manager
      • Dutiful: ใจดี ปฏิเสธไม่เป็น

    หมายเหตุ

    * DSM ในปัจจุบัน (ค.ศ. 2023) คือ DSM-V และฉบับที่ Hogan และ Hogan อ้างอิง คือ DSM-IV-TR ทั้งนี้ DSM-V และ DSM-IV-TR ระบุความผิดปกติทางบุคลิกภาพไว้ 10 ด้าน แต่ Hogan และ Hogan เลือกให้มีบุคลิกภาพด้านมืด 11 ด้าน โดยที่ด้านที่เพิ่มเข้ามายังมีความสำคัญในการที่ทำงาน (Leisurely) และเป็นบุคลิกภาพด้านมืดที่คล้ายคลึงกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่มีในฉบับก่อน ๆ แต่ไม่มีใน DSM-IV-TR และ DSM-V


    อ้างอิง

    Hogan, J., Hogan, R., & Kaiser, R. B. (2011). Management derailment. In S. Zedeck (Ed.), APA handbook of industrial and organizational psychology, Vol. 3. Maintaining, expanding, and contracting the organization (pp. 555–575). American Psychological Association.

    Hogan, R., & Hogan, J. (2001). Assessing leadership: A view from the dark side. International Journal of Selection and Assessment, 9(1-2), 40–51.

    Hogan, R., & Hogan, J. (2009). Hogan Development Survey manual (2nd ed.). Hogan Assessment Systems.

    Horney, K. (1950). Neurosis and human growth: The struggle toward self-realization. Norton.


    บทความต้นฉบับจาก https://www.blockdit.com/posts/64cea71c5c4cf6bdec64e570


    ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    📕 ขอฝากหนังสือเล่มแรกในชีวิตด้วยนะครับ 😆

    🙋 ใครที่กำลังเรียนจิตวิทยาหรือทำงานสายจิตวิทยา และเบื่อที่ต้องใช้ software ราคาแพงอย่าง SPSS และ Excel เพื่อทำข้อมูล

    💪 ผมขอแนะนำ R Book for Psychologists หนังสือสอนใช้ภาษา R เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยา ที่เขียนมาเพื่อนักจิตวิทยาที่ไม่เคยมีประสบการณ์เขียน code มาก่อน

    ในหนังสือ เราจะปูพื้นฐานภาษา R และพาไปดูวิธีวิเคราะห์สถิติที่ใช้บ่อยกัน เช่น:

    • Correlation
    • t-tests
    • ANOVA
    • Reliability
    • Factor analysis

    🚀 เมื่ออ่านและทำตามตัวอย่างใน R Book for Psychologists ทุกคนจะไม่ต้องพึง SPSS และ Excel ในการทำงานอีกต่อไป และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองได้ด้วยความมั่นใจ

    แล้วทุกคนจะแปลกใจว่า ทำไมภาษา R ง่ายขนาดนี้ 🙂‍↕️

    👉 สนใจดูรายละเอียดหนังสือได้ที่ meb:

  • บุคลิกภาพด้านมืด: สังคม การเรียน และการทำงาน

    บุคลิกภาพด้านมืด: สังคม การเรียน และการทำงาน

    1. พฤติกรรมทางสังคม
    2. การเรียน
    3. การทำงาน
    4. ความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ
    5. บทสรุปด้านมืด
    6. อ้างอิง
    7. ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    👉 ในตอนที่แล้ว (Eps. 2, 3) เราพูดถึงความแตกต่างระหว่างบุคลิกภาพด้านมืดและด้านสว่าง และ Dark Triad ซึ่งประกอบด้วย Machiavellianism (Mach), narcissism, และ psychopathy ซึ่งเป็นบุคลิกภาพด้านมืด 3 อย่างที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจ

    ครั้งนี้ เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพด้านมืดกัน


    พฤติกรรมทางสังคม

    อย่างที่เล่าไปในตอนที่แล้ว (Ep. 3) ลักษณะที่เป็นแก่นหลักหนึ่งของ Dark Triad คือ ความไร้ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น (callousness; Jones & Figueredo, 2013; Paulhus, 2014)

    ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) เป็นความสามารถในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น (เช่น ถ้าเพื่อนเศร้า เราสามารถตีความว่าเพื่อนเศร้า และรู้สึกเศร้าไปกับเพื่อนได้) ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนมีความรู้สึกเชื่อมโยง (connected) กับคนอื่น (Hoffman, 2001)

    การที่ Dark Triad ขาดความเห็นอกเห็นใจ อาจทำให้คนที่มี Dark Triad สูงรู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นได้ยาก แต่ทำให้คนเหล่านี้สามารถทำพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อคนอื่นได้ง่ายขึ้น เพราะคนที่มี Dark Triad มักจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์หรือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องรับเคราะห์จากผลการกระทำของพวกเขา

    จึงไม่น่าแปลกใจที่ Dark Triad มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลด้านลบต่อสังคม เช่น

    • ความก้าวร้าว (aggression; Jones & Neria, 2015)
    • การกลั่นแกล้ง (bullying; van Geel et al., 2017)
    • การหลอกลวง (Jones & Paulhus, 2017)
    • การโกงข้อสอบ (cheating; Williams et al., 2010)

    สมกับที่ Dark Triad ถูกจัดว่าเป็นบุคลิกภาพด้านมืด หรือบุคลิกภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ทางสังคม


    การเรียน

    แม้จะเป็นบุคลิกภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ แต่ Dark Triad สามารถทำนายพฤติกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากพฤติกรรมด้านมืดได้

    ตัวอย่างที่สนใจมาจากงานวิจัยของ Vedel และ Thomsen (2017) ซึ่งพบว่า คะแนน Dark Triad ของนักศึกษาธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ (business/economics) มักสูงกว่านักศึกษาจิตวิทยา (psychology)

    การค้นพบนี้สามารถตีความได้หลายแบบ

    การตีความแบบที่ 1: การเรียนหรือสภาพแวดล้อมของสาขาธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ปลูกฝังให้คนมีบุคลิกภาพด้านมืดมากขึ้น (รูปที่ 1)

    รูปที่ 1 การตีความว่า การเรียนธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ (Business/economics) ทำให้เกิดบุคลิกภาพด้านมืด (High dark)

    การตีความแบบที่ 2: นักวิจัยเชื่อว่า การตีความที่เป็นไปได้มากกว่า คือ สาขาธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ดึงดูดคนที่มีบุคลิกภาพด้านมืดให้เลือกเรียนมากกว่าจิตวิทยา (รูปที่ 2)

    รูปที่ 2 การตีความว่า บุคลิกภาพด้านมืดสูง (High dark) มักเลือกเรียนธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์ (Business/economics) มากกว่าจิตวิทยา (Psychology)

    การตีความนี้สอดคล้องกับงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องระหว่าง Dark Triad และการให้ความสำคัญต่ออำนาจและเงิน (Lee et al. 2013) นั่นคือ คนที่มี Dark Triad สูงมักมองเห็นอำนาจและเงินเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต และเพราะการเรียนธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์สามารถพาไปสู่เส้นทางอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและเงินได้ (เช่น ผู้บริหาร เจ้าของบริษัท) มากกว่าจิตวิทยา (นักจิตวิทยา) คนที่มี Dark Triad สูงจึงมักเลือกเรียนธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์มากกว่าจิตวิทยา

    เป็นเหตุให้นักศึกษาธุรกิจ/เศรษฐศาสตร์มีคะแนน Dark Triad สูงกว่านักศึกษาจิตวิทยานั่นเอง


    การทำงาน

    ในบริบทการทำงาน ผลลัพธ์ที่หาย ๆ งานวิจัยเห็นตรงกัน 2 อย่าง คือ

    1. Dark Triad มีความเชื่อมโยงกับ counterproductive work behaviour (CWB) หรือพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อการทำงานหรือสมาชิกขององค์กร เช่น การขโมยของในที่ทำงาน การกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมงาน
    2. Dark Triad มีความเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพในการทำงาน (job performance) ที่ลดลง (O’Boyle et al., 2012)

    แม้ว่า Dark Triad จะส่งกระทบเชิงลบต่อผลลัพธ์ในการทำงาน แต่ก็ไม่เสมอไป

    งานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นว่า อิทธิพลเชิงบวกของ Dark Triad ในที่ทำงาน เช่น คนที่มี Dark Triad สูงมักมี

    • เงินเดือนที่สูงกว่า 
    • ระดับตำแหน่งงานที่สูงกว่า เช่น ระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร (Paleczek et al., 2018; Spurk et al., 2016)

    ถ้าคนที่มี Dark Triad มักมีพฤติกรรมในการทำงานที่ไม่ดี แต่ทำไมถึงได้รับค่าตอบแทนและอยู่ในระดับงานที่ดีกว่า?

    คำตอบมี 2 ส่วน คือ

    1. คนที่มี Dark Triad มักให้ความสำคัญกับอำนาจและการประสบความสำเร็จ (Kajonius et al., 2015; Lee et al. 2013) ซึ่งอาจทำให้คนที่มีลักษณะมืดเหล่านี้มีแรงผลักดันที่จะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูง ๆ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นทั้งอำนาจและความสำเร็จ
    2. นอกจากนี้ คนที่มี Dark Triad ยังความโน้มเอียงและทักษะในการบงการ (manipulation)  ที่ช่วยให้คนเหล่านี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามสถานการณ์เพื่อได้ในสิ่งที่ต้องการอีกด้วย

    เช่น คนที่มี narcissism สูง ซึ่งมักประเมินตัวเองเกินความเป็นจริง (Grijalva et al., 2016) และสามารถนำเสนอตัวเองให้ดูดีได้ (Campbell et al., 2011) อาจทำให้คนเหล่านี้ดูเหมือนคนที่มีทั้งความสามารถและความมั่นใจในตัวเองที่คู่ควรกับตำแหน่งงานในระดับสูง

    คนที่มี Mach สูง ที่สามารถใช้การบงการได้ทั้งลูกหนัก (hard tactic เช่น การข่มขู่) และลูกเบา (soft tactic เช่น การเยินยอ; Jonason et al., 2012) พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ได้หลายรูปแบบ

    และคนที่มี psychopathy สูง ที่มีเสน่ห์ (charm) แต่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในการกระทำของตัวเอง (Hare & Neumann, 2008) ซึ่งทำให้คนเหล่านี้พร้อมจะใช้เสน่ห์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเสมอ


    ความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ

    จะเห็นได้ว่า อิทธิพลของบุคลิกภาพด้านมืดในที่ทำงานไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เสมอไป แต่กลับเป็นว่า คนที่มีลักษณะมืดมีโอกาสที่จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งงานที่จะส่งผลกระทบกับคนได้ในวงกว้างอย่างตำแหน่งบริหาร

    ผลการวิจัยที่ประกอบรวมกันนี้อาจช่วยอธิบายการมีอยู่ของความล้มเหลวของการเป็นผู้นำ (leadership failure หรือ leadership derailment) ซึ่งจากการประเมินอาจสูงถึง 67% ของผู้นำทั้งหมด (Hogan et al., 2011) 

    ความล้มเหลวของผู้นำไม่ได้ส่งผลต่อการทำงานของอค์กรเท่านั้น (เช่น องค์กรที่มี CEO ที่มี narcissism สูงมักมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องมากขึ้น; O’Reilly et al., 2018) แต่ยังส่งผลต่อความสำเร็จทางอาชีพและสุขภาวะของพนักงานอีกด้วย (Volmer et al., 2016)

    ถ้าคนที่มี Dark Triad มักขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่กลับเป็นผู้นำที่ไม่ดี เราจะทำยังไงได้บ้าง?

    อย่างแรก เราสามารถที่จะลดโอกาสที่คนเหล่านี้จะขึ้นมาเป็นผู้นำผ่านกระบวนกันคัดเลือกบุคลากร

    แต่ถ้าคนที่มีลักษณะด้านมืดสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีพฤติกรรมที่แยกได้ยากจากคนที่มีความสามารถจริง ๆ เราจะทำยังไง?

    Hogan และคณะ (2011) ผู้เชี่ยวชาญด้านบุคลิกภาพในองค์กร เสนอว่า ให้ตรวจสอบลักษณะที่มักจะปรากฎในคนที่มีความสามารถ แต่ไม่มีในคนที่มีบุคลิกภาพด้านมืด เช่น

    • ความตระหนักรู้ในตัวเอง (self-awareness)
    • ความสามารถในการเรียนรู้จากความผิดพลาด และ
    • สามารถควบคุมตัวเองได้ดี

    นอกจากนี้ Hogan และคณะยังเสนอให้มีการประเมินบุคลิกภาพด้านมืดของผู้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำด้วย เพราะแม้ว่าในหลาย ๆ องค์กรจะมีการประเมินบุคลิกภาพ แต่เป็นการประเมินบุคลิกภาพด้านสว่าง ซึ่งไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของความล้มเหลวของผู้นำได้

    อย่างที่สอง ในกรณีที่เรามีผู้นำที่มีบุคลิกภาพด้านมืด เราสามารถที่จะออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อลดผลกระทบด้านลบและดึงศักยภาพของบุคลิกภาพด้านมืดมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับองค์กรได้

    ลักษณะอย่างหนึ่งสภาพแวดล้อมที่สามารถช่วยลดอิทธิพลด้านลบของบุคลิกภาพด้านมืดได้ คือ ความชัดเจน (unambiguity) ทั้งนี้ เพราะผลกระทบด้านลบส่วนหนึ่งมาจากการบงการของคนที่มีบุคลิกภาพด้านมืด ซึ่งเมื่อสภาพแวดล้อมขาดความชัดเจน การบงการ (เช่น การบิดเบือนความจริง) สามารถทำได้ง่ายขึ้น

    มีงานวิจัยที่สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยแสดงให้เห็นว่า พนักงานที่มี Mach สูง มียอดขายที่น้อยในองค์กรที่มีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน เมื่อเทียบกับองค์กรที่มีโครงสร้างการทำงานที่ไม่ชัดเจน เพราะเป็นไปได้ว่า พนักงานขายในองค์กรที่มีโครงสร้างชัดเจนไม่สามารถใช้ทักษะการบงการได้อย่างเต็มที่ (Gable et al., 1992; Shultz, 1993)

    ในขณะเดียวกัน เราสามารถออกแบบสภาพแวดล้อม หรือมอบหมายให้ผู้นำอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บุคลิกภาพด้านมืดจะส่งผลบวกต่อองค์กรได้

    ตัวอย่างสภาพแวดล้อมที่บุคลิกภาพด้านมืดจะสามารถทำประโยชน์ให้ได้ คือ สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งการทำงานในสภาพแวดล้อมนี้ต้องการการตัดสินใจจากผู้นำที่เด็ดขาด สามารถรับมือกับความกดดัน และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี (Haar & de Jong, 2023) ซึ่งการให้ความสำคัญต่ออำนาจ (การได้มีอำนาจตัดสินใจเหนือคนอื่น) และทักษะการบงการทำให้คนที่มีบุคลิกภาพด้านมืดเหมาะกับการเป็นผู้นำในบริบทนี้

    งานวิจัยของ Haar และ de Jong (2023) ให้การสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยแสดงให้เห็นว่า ในองค์กรที่มีการแข่งขันสูง CEO ที่มี Dark Triad สูง สามารถผลักดันให้ทีมสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ดีกว่า CEO ที่อยู่ในองค์กรที่มีการแข่งขันต่ำ

    ดังนั้น เพื่อทำใช้ประโยชน์จากบุคลิกภาพด้านมืด เราอาจปรับสภาพแวดล้อมให้มีการแข่งขันสูงขึ้น หรือจัดวางผู้นำที่มีบุคลิภาพด้านมืดให้อยู่ในฝ่ายงานที่มีการแข่งขันสูงได้


    บทสรุปด้านมืด

    บุคลิกภาพด้านมืดเป็นลักษณะทางบุคคลที่แยกออกจากบุคลิกภาพด้านสว่าง และสามารถช่วยเพิ่มความเข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์ได้

    Dark Triad เป็นบุคลิกภาพด้านมืดที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

    งานวิจัยต่าง ๆ ได้แสดงให้เห็นว่า Dark Triad ไม่ได้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมด้านลบของมนุษย์ แต่ยังพฤติกรรมในด้านอื่น ๆ เช่น การเลือกสาขาการศึกษา และการขึ้นมาเป็นผู้นำ ด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบของบุคลิกภาพด้านมืดต่อพฤติกรรมมีความซับซ้อนและน่าค้นหา และการทำความเข้าใจบุคลิกภาพด้านมืดสามารถช่วยให้เราเข้าใจและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้


    อ้างอิง

    Campbell, W. K., Hoffman, B. J., Campbell, S. M., & Marchisio, G. (2011). Narcissism in organizational contexts. Human Resource Management Review, 21(4), 268–284.

    Gable, M., Hollon, C., & Dangello, F. (1992). Managerial structuring of work as a moderator of the Machiavellianism and job performance relationship. The Journal of Psychology: Interdisciplinary and Applied, 126(3), 317–325.

    Grijalva, E., & Zhang, L. (2016). Narcissism and self-insight: A review and meta-analysis of narcissists’ self-enhancement tendencies. Personality and Social Psychology Bulletin, 42(1), 3–24.

    Haar, J., & de Jong, K. (2023). Is the dark triad always detrimental to firm performance? Testing different performance outcomes and the moderating effects of competitive rivalry. Frontiers in Psychology, 14, 1061698. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2023.1061698

    Hare, R. D., & Neumann, C. S. (2008). Psychopathy as a clinical and empirical construct. Annual Review of Clinical Psychology, 4, 217–246.

    Harms, P. D., Spain, S. M., & Wood, D. (2014). Mapping personality in dark places. Industrial and Organizational Psychology: Perspectives on Science and Practice, 7(1), 114–117.

    Hoffman, M. L. (2001). Empathy and moral development: Implications for caring and justice. Cambridge University Press.

    Hogan, J., Hogan, R., & Kaiser, R. B. (2011). Management derailment. In S. Zedeck (Ed.), APA handbook of industrial and organizational psychology, Vol. 3. Maintaining, expanding, and contracting the organization (pp. 555–575). American Psychological Association.

    Jonason, P. K., & Sherman, R. A. (2020). Personality and the perception of situations: The Big Five and Dark Triad traits. Personality and Individual Differences, 163, 110081. 

    Jonason, P. K., Slomski, S., & Partyka, J. (2012). The Dark Triad at work: How toxic employees get their way. Personality and Individual Differences, 52(3), 449–453.

    Jones, D. N., & Figueredo, A. J. (2013). The core of darkness: Uncovering the heart of the Dark Triad. European Journal of Personality, 27(6), 521–531.

    Jones, D. N., & Neria, A. L. (2015). The Dark Triad and dispositional aggression. Personality and Individual Differences, 86, 360–364.

    Jones, D. N., & Paulhus, D. L. (2017). Duplicity among the dark triad: Three faces of deceit. Journal of Personality and Social Psychology, 113(2), 329–342.

    Kajonius, P. J., Persson, B. N., & Jonason, P. K. (2015). Hedonism, Achievement, and Power: Universal values that characterize the Dark Triad. Personality and Individual Differences, 77, 173–178.

    Lee, K., Ashton, M. C., Wiltshire, J., Bourdage, J. S., Visser, B. A., & Gallucci, A. (2013). Sex, power, and money: Prediction from the Dark Triad and Honesty–Humility. European Journal of Personality, 27(2), 169–184.

    O’Boyle, E. H., Jr., Forsyth, D. R., Banks, G. C., & McDaniel, M. A. (2012). A meta-analysis of the Dark Triad and work behavior: A social exchange perspective. Journal of Applied Psychology, 97(3), 557–579.

    O’Reilly, C. A. III, Doerr, B., & Chatman, J. A. (2018). “See you in court”: How CEO narcissism increases firms’ vulnerability to lawsuits. The Leadership Quarterly, 29(3), 365–378.

    Paleczek, D., Bergner, S., & Rybnicek, R. (2018). Predicting career success: Is the dark side of personality worth considering? Journal of Managerial Psychology, 33(6), 437–456.

    Paulhus, D. L. (2014). Toward a taxonomy of dark personalities. Current Directions in Psychological Science, 23(6), 421–426.

    Spurk, D., Keller, A. C., & Hirschi, A. (2016). Do bad guys get ahead or fall behind? Relationships of the Dark Triad of personality with objective and subjective career success. Social Psychological and Personality Science, 7(2), 113–121.

    Shultz, C. J. (1993). Situational and dispositional predictors of performance: A test of the hypothesized Machiavellianism × structure interaction among sales persons. Journal of Applied Social Psychology, 23(6), 478–498.

    van Geel, M., Goemans, A., Toprak, F., & Vedder, P. (2017). Which personality traits are related to traditional bullying and cyberbullying? A study with the Big Five, Dark Triad and sadism. Personality and Individual Differences, 106, 231–235.

    Vedel, A., & Thomsen, D. K. (2017). The Dark Triad across academic majors. Personality and Individual Differences, 116, 86–91.

    Volmer, J., Koch, I. K., & Göritz, A. S. (2016). The bright and dark sides of leaders’ dark triad traits: Effects on subordinates’ career success and well-being. Personality and Individual Differences, 101, 413–418.

    Williams, K. M., Nathanson, C., & Paulhus, D. L. (2010). Identifying and profiling scholastic cheaters: Their personality, cognitive ability, and motivation. Journal of Experimental Psychology: Applied, 16(3), 293–307.


    บทความต้นฉบับจาก https://www.blockdit.com/posts/64c52abba111aa9db16ca5ea


    ✅ R Book for Psychologists: หนังสือภาษา R สำหรับนักจิตวิทยา

    📕 ขอฝากหนังสือเล่มแรกในชีวิตด้วยนะครับ 😆

    🙋 ใครที่กำลังเรียนจิตวิทยาหรือทำงานสายจิตวิทยา และเบื่อที่ต้องใช้ software ราคาแพงอย่าง SPSS และ Excel เพื่อทำข้อมูล

    💪 ผมขอแนะนำ R Book for Psychologists หนังสือสอนใช้ภาษา R เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยา ที่เขียนมาเพื่อนักจิตวิทยาที่ไม่เคยมีประสบการณ์เขียน code มาก่อน

    ในหนังสือ เราจะปูพื้นฐานภาษา R และพาไปดูวิธีวิเคราะห์สถิติที่ใช้บ่อยกัน เช่น:

    • Correlation
    • t-tests
    • ANOVA
    • Reliability
    • Factor analysis

    🚀 เมื่ออ่านและทำตามตัวอย่างใน R Book for Psychologists ทุกคนจะไม่ต้องพึง SPSS และ Excel ในการทำงานอีกต่อไป และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเองได้ด้วยความมั่นใจ

    แล้วทุกคนจะแปลกใจว่า ทำไมภาษา R ง่ายขนาดนี้ 🙂‍↕️

    👉 สนใจดูรายละเอียดหนังสือได้ที่ meb: