Category: Event summary

  • สรุป 2 ประเด็นจาก StoryBrand Webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” — ทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อ และทำยังไงให้ลูกค้าซื้อ

    สรุป 2 ประเด็นจาก StoryBrand Webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” — ทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อ และทำยังไงให้ลูกค้าซื้อ

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุป 2 ประเด็นจาก webinar ของ Donald Miller “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา:

    1. Why your message fails? ทำไม marketing message ถึงไม่ทำให้ลูกค้าซื้อ
    2. The five soundbites: soundbites ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าซื้อ

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😭 Why Your Message Fails?
      1. 🧐 Don’t Be Smart, Be Clear
      2. ☕ Example
    2. 😎 The Five Soundbites
      1. 🗣️ What Is a Soundbite?
      2. 🕊️ PEACE Framework
      3. 💵 Example #1. Money App
      4. 📕 Example #2. Book
      5. 🏠 Example #3. Airbnb.org
    3. 💪 Summary
    4. 🍩 Bonus: Your Sales Pitch
    5. 📼 Webinar Videos

    😭 Why Your Message Fails?

    .

    🧐 Don’t Be Smart, Be Clear

    เหตุผลหลักที่ลูกค้าไม่ซื้อของกับเราก็เพราะ marketing message ของเราขาดความชัดเจน และทำให้ลูกค้าต้องคิด

    ถ้าเรามีป้ายโฆษณาบนทางด่วน และข้อความของเราไม่เคลียร์ ลูกค้าก็คงจะไม่จอดรถเพื่อครุ่นคิดว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อคืออะไร แต่เขาจะขับรถผ่านป้ายและลืมเราไป

    Message ที่ดีไม่จำเป็นต้องดูดี แต่ต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ในทันทีว่าเรากำลังสื่ออะไร

    .

    ☕ Example

    ยกตัวอย่างเช่น message ของคอร์สสอนทำร้านกาแฟ:

    Drowning in coffee shop chaos? Stop doing everything yourself.

    แม้ว่าการใช้คำอาจจะดูดี แต่คนอ่านจะมีคำถามในใจ เช่น:

    • “Coffee shop chaos” คืออะไร? เป็นความวุ่นวายแบบไหน? ถ้าเราเป็นร้านกาแฟที่มีลูกค้าเยอะจนเสิร์ฟไม่ทัน นับเป็น coffee shop chaos ไหม?
    • “Do everything” ที่ว่าคืออะไรบ้าง? การทำบัญชีร้านรวมด้วยไหม?

    เราสามารถปรับ message ให้ชัดเจนขึ้นได้แบบนี้:

    Losing baristas faster than you can hire? It doesn’t have to be this way.

    จะเห็นว่า message ใหม่ทำให้เราเห็นภาพชัดมากขึ้นว่า เรากำลังพูดถึงปัญหา turnover ของ barista และคอร์สนี้มีทางออกให้

    ถ้าเรากำลังมีปัญหา barista ลาออกเร็วจนหาคนแทนไม่ทัน เราจะรู้ในทันทีว่าคอร์สนี้อาจจะหมาะกับเรา

    เมื่อเราทำให้ message ชัดเจนขึ้น ยอดขายของเราก็จะเพิ่มขึ้นตามมา อย่างในตัวอย่างคอร์สทำร้านกาแฟ message แรก ได้ยอดคลิก 18 ครั้งใน 48 ชั่วโมง ในขณะที่ message ใหม่ได้ยอดคลิกสูงถึง 125 ครั้งใน 48 ชั่วโมง

    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    😎 The Five Soundbites

    .

    🗣️ What Is a Soundbite?

    นอกจากความชัดเจนแล้ว message ของเราควรสื่อสารผ่าน soundbite หรือวลี/ประโยคสั้น ๆ ที่เราสามารถพูดทวนและช่วยทำให้ลูกค้าจำเราได้ขึ้นใจ เช่น:

    • “Just do it.”
    • “Because you’re worth it.”
    • “Melts in your mouth, not in your hands.”

    .

    🕊️ PEACE Framework

    Soundbites ที่ดีจะเชื่อมโยงปัญหาของลูกค้าที่เราสามารถแก้ได้ เข้ากับ product/service ที่เรามี เพื่อช่วยให้ลูกค้านึกถึงเราเวลาเขามีปัญหา

    เราสามารถสร้าง soundbites ที่มีประสิทธิภาพได้โดยใช้ 5-soundbite framework หรือ PEACE framework ซึ่งประกอบด้วย:

    1. Problem: ปัญหาที่ลูกค้ามีและเราสามารถแก้ได้
    2. Empathy: แสดงความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้าต่อปัญหาที่มี
    3. Answer: นำเสนอทางออกของปัญหา (product/service ของเรา)
    4. Change: การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าได้ใช้ product/service ของเรา
    5. End result: ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อใช้ product/service ของเราแล้ว
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    💵 Example #1. Money App

    PEACE เป็นเหมือนบันไดหน้าบ้านที่เราชวนให้ลูกค้าเข้าก้าวขึ้นมาเพื่อทำความรู้จักเรามากขึ้นและซื้อของกับเราในที่สุด

    เราสามารถใช้ PEACE เพื่อสื่อสารกับลูกค้าได้แบบนี้ เช่น message ของ YNAB ที่เป็นแอปจัดการการเงิน:

    1. Problem: Has there ever been a time when you’ve worried about money?
    2. Empathy: We know how that feels.
    3. Answer: Download the YNAB app …
    4. Change: … and get good with money.
    5. End result: So that you never worry about money again.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    📕 Example #2. Book

    ตัวอย่าง message ของหนังสือการสร้างธุรกิจ:

    1. Problem: You want to know the principles that allow you to build an enduring business.
    2. Empathy: It’s hard to build a business that lasts.
    3. Answer: There are 41 principles it takes to build an enduring business.
    4. Change: You will become a principle driven leader.
    5. End result: You will build a business that can endure anything.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    .

    🏠 Example #3. Airbnb.org

    ตัวอย่าง message ของ Airbnb.org องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหาที่พักชั่วคราวให้กับผู้ประสบภัยไฟป่าในอเมริกา:

    1. Problem: When disaster strikes, many families end up in a shelter.
    2. Empathy: Airbnb.org believes families in need deserve a safe place to stay.
    3. Answer: Airbnb already has millions of homes around the world.
    4. Change: Making it unnecessary for a family to have to stay in a shelter.
    5. End result: Families can be together, safe and in a home after a disaster.
    Source: StoryBrand’s webinar “How to Sell Anything With StoryBrand Soundbites” (2025).

    💪 Summary

    ลูกค้าจะไม่ซื้อถ้า marketing message ของเราไม่ชัดเจนและทำให้ลูกค้าต้องคิด

    Message ที่ดีจะต้องชัดเจนและทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ในทันทีว่า เรากำลังสื่ออะไร

    เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าผ่าน 5 soundbites หรือวลี/ประโยคสั้น ๆ ที่จะช่วยให้ลูกค้านึกถึงเราเมื่อเขามีปัญหาได้:

    1. Problem: ปัญหาที่ลูกค้ามีและเราสามารถแก้ได้
    2. Empathy: ความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้า
    3. Answer: product/service ของเราที่จะช่วยลูกค้าแก้ปัญหาได้
    4. Change: การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
    5. End result: ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ

    🍩 Bonus: Your Sales Pitch

    ในบางครั้ง ลูกค้าอยากจะซื้อของกับเราอยู่แล้ว แต่เขาจะยังไม่ซื้อจนกว่าเราจะถาม ซึ่งเราสามารถใช้ pattern การถามได้แบบนี้

    If you are struggling with [problem], here’s [product/service] to solve it. It’s [amount] dollars. Would you like to buy?


    📼 Webinar Videos

  • สรุป 3 ประเด็นหลัก จาก 2 sessions ในงาน WebPresso (รอบเดือนธันวาคม 2025): How to Survive, Future Trends, และ What We Need for a Successful Business

    สรุป 3 ประเด็นหลัก จาก 2 sessions ในงาน WebPresso (รอบเดือนธันวาคม 2025): How to Survive, Future Trends, และ What We Need for a Successful Business

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุป 3 ประเด็นจาก 2 sessions ในงาน WebPresso (รอบเดือนธันวาคม 2025) ได้แก่:

    1. Web Is the Way โดย คุณทอย กษิดิศ สตางค์มงคล (แอดทอย) กรรมการสมาคมผู้ดูแลเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ไทย และผู้เชี่ยวชาญด้าน Data เจ้าของเพจและเว็บไซต์การศึกษา DataRockie
    2. The System Behind Successful Lone Creators โดย คุณพลอย อนัญญา สหัสสะรังษี (พลอย – Anunya พา Learn)

    โดยเนื้อหาทั้ง 3 ประเด็นได้แก่:

    1. How to survive: วิธีทำให้เว็บไซต์ของเรารอดในยุคของ AI
    2. Future trends: trends ของเว็บไซต์ในโลกอนาคต
    3. What we need for a successful business: สิ่งที่เราต้องการเพื่อทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 🌐 How to Survive
      1. 1️⃣ Quality Content
      2. 2️⃣ Information Gain
      3. 3️⃣ Structure
      4. 4️⃣ llms.txt
      5. 5️⃣ JSON-LD
      6. 6️⃣ Trust
    2. 🔮 Future Trends
      1. 1️⃣ Cozy Web
      2. 2️⃣ Headless CMS
      3. 3️⃣ Zero UI
      4. 4️⃣ Query Fanout
    3. 🚀 What We Need for a Successful Business
      1. 💫 What We Need Is Systems
      2. 🤖 Examples
    4. 📄 References

    🌐 How to Survive

    .

    AI content มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอินเทอร์เน็ต แต่การสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีการเว็บไซต์จะช่วยสร้างตัวตนบนอินเทอร์เน็ตที่จะทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น

    ถ้าเว็บไซต์เราจะอยู่รอด เราจะต้องทำเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 ส่วน คือ:

    1. Human: คนอ่าน content
    2. Machine: bot และ AI ที่เข้าถึงเว็บไซต์ของเรา

    ซึ่งเราทำได้ 6 วิธี ดังนี้:

    1. Quality content
    2. Information gain
    3. Structure
    4. llms.txt
    5. JSON-LD
    6. Trust

    .

    1️⃣ Quality Content

    เราจะต้องสร้าง content ที่มีคุณภาพ ซึ่งมีลักษณะ 4 อย่าง ได้แก่:

    1. Experience: เขียน/สร้างจากประสบการณ์ตรง
    2. Expert: เขียน/สร้างจากความเชี่ยวชาญ
    3. Authority: แสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น ๆ
    4. Trustworthiness: มีความน่าเชื่อถือ (ไม่ใช่ click bait)

    .

    2️⃣ Information Gain

    Content ของเราจะต้องให้ข้อมูลใหม่/เพิ่มเติมจากสิ่งที่มีอยู่

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • สิ่งที่ไม่ควรเขียน: What is data science?
    • สิ่งที่ควรเขียน: How I apply data science in my job as a data analyst at Samsung

    เราไม่ควรเขียน “What is data science?” เพราะเป็น content ที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตแล้ว และไม่ช่วยเพิ่มข้อมูลให้กับคนอ่าน

    ในทางกลับกัน “How I apply data science in my job as a data analyst at Samsung” เป็น topic ที่อาจจะยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อน และทำให้คนอื่นได้ข้อมูลที่แปลกใหม่ไปจากเดิม ดังนั้น เราควรจะเขียนหัวข้อนี้มากกว่า “What is data science?”

    .

    3️⃣ Structure

    เราควรออกแบบโครงสร้าง content (เช่น บทความ) ให้ดี:

    1. Atomic content: แบ่ง content เป็นส่วน ๆ เช่น แบ่งเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนตอบคำถาม 1 ข้อ
    2. เขียน content เช่น “10 ที่เที่ยวแนะนำในกรุงเทพฯ”, “5 คำแนะนำสำหรับคนหางานใหม่”, หรือ “7 นิสัยที่คนรุ่นใหม่ควรมี”
    3. เขียน content แบบเปรียบเทียบ เช่น “เปรียบเทียบกล้อง Samsung Galaxy S25 และ iPhone 17”

    .

    4️⃣ llms.txt

    llms.txt เป็นไฟล์บนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งจะบอก AI ที่วิ่งเข้ามาหาเว็บไซต์ว่า เว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับอะไร มีโครงสร้างเว็บไซต์ยังไงบ้าง

    เราควรปรับไฟล์นี้เพื่อช่วยให้ AI เข้าใจเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น และนำเนื้อหาของเว็บไซต์ไปสู่ target audience ของเรา

    ตัวอย่าง llms.txt:

    .

    5️⃣ JSON-LD

    JSON-LD (LD คือ linked data) เป็นไฟล์ที่ช่วยบอก AI ว่า เรามี asset อะไรบ้าง เช่น บอกว่า:

    • YouTube ของเราชื่ออะไร
    • Instagram ชื่ออะไร
    • Facebook page ชื่ออะไร

    JSON-LD ช่วยให้ AI เข้าใจ online profile ของเรามากขึ้น

    ตัวอย่าง JSON-LD:

    .

    6️⃣ Trust

    สุดท้าย สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ trust เพราะ human เป็นคนที่จะเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา และคนอื่นจะไม่เข้ามาดู content บนเว็บไซต์ของเราถ้าเราไม่สามารถสร้างความไว้ใจให้กับเขาได้


    .

    1️⃣ Cozy Web

    เว็บไซต์จะเปลี่ยนจาก public space ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ มาเป็น community-based หรือเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวมของคนที่มีความสนใจเหมือนกันมากขึ้น

    ตัวอย่าง cozy web เช่น:

    • WhatsApp
    • Discord
    • Snapchat

    .

    2️⃣ Headless CMS

    เว็บไซต์จะแยกส่วนระหว่าง:

    1. ส่วนจัดเก็บข้อมูล (database)
    2. ส่วนการแสดงผล (UI หรือ head ของเว็บไซต์)

    การแยก 2 ส่วนนี้ออกจากกัน จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้เหมาะกับ user ได้ง่ายมากขึ้น นั่นคือ แทนที่ user ทุกคนจะเห็น content บนเว็บไซต์ที่หน้าตาเหมือนกัน user จะเห็น content เดียวกันบนเว็บไซต์ที่แตกต่างกันไปแต่ละคน

    .

    3️⃣ Zero UI

    Zero UI เป็นแนวคิดการออกแบบ user interface (UI) ให้ seamless สำหรับ user โดยแทนที่จะมีกล่องและปุ่ม user อาจสั่งการผ่านเสียงหรือพิมพ์ natural language ลงไปเพื่อใช้งานเว็บไซต์ได้

    ด้วยความสามารถในการเขียน code ของ AI เราสามารถออกแบบเว็บไซต์ที่แตกต่างและเหมาะสมกับ target audience และเข้าใกล้ zero UI ได้มากขึ้น

    .

    4️⃣ Query Fanout

    การค้นหาจะเปลี่ยนจาก search engine อย่าง Google มาเป็น AI search ซึ่งใช้การค้นหาแบบ query fanout หรือการแยกหัวข้อจากคำค้นหาของ user มากขึ้นเรื่อย ๆ

    เราสามารถดูตัวอย่าง query fanout ได้ใน ChatGPT โดยทำตามวิดีโอด้านล่าง:

    หรือใช้เครื่องมืออย่าง Query Fanout Analysis Tool

    เมื่อเรารู้ว่า AI จะแตกหัวข้อออกมาเป็นอะไรบ้าง เราสามารถสร้าง content ที่ตอบโจทย์หัวข้อเหล่านี้ เพื่อทำให้ content เรามีโอกาสติดอันดับของ AI search มากขึ้น


    🚀 What We Need for a Successful Business

    .

    💫 What We Need Is Systems

    จากประสบการณ์ของคุณพลอย เราไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก หรือ business model ที่ใช่ เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ:

    สิ่งที่เราต้องการ คือ system ที่ดี

    With great systems and the right tools, we can all scale. — Anunya Pa Learn

    .

    🤖 Examples

    ในปัจจุบัน เรามีเครื่องมือต่าง ๆ มากมายที่ช่วยให้เราสร้างระบบการทำงานที่ดีได้

    ยกตัวอย่างเช่น:

    ตัวอย่างที่ 1. Matt Gray ที่ออกแบบ content โดย:

    1. แบ่ง 1 long content เป็น 3 โพสต์ย่อย เพื่อสามารถโพสต์บน platform ต่าง ๆ ได้
    2. มี template สำหรับสร้าง content และโพสต์บนที่ต่าง ๆ เพื่อให้ทุกโพสต์มี mood and tone เดียวกัน
    3. วางระบบ automated DM เพื่อตอบรับและเก็บข้อมูล lead ผ่านทาง social media โดยอัตโนมัติ

    ตัวอย่างที่ 2. Payper ที่เป็น AI ที่คุณพลอยพัฒนาขึ้นมา เพื่อแก้ pain point การจัดเก็บใบเสร็จสำหรับทำบัญชี ซึ่งทำงานใน 3 ขั้นตอน:

    1. เก็บข้อมูลใบเสร็จที่อัปโหลดลงใน LINE ไว้ใน Google Sheet
    2. สร้าง Google Drive folder เพื่อเก็บรูปใบเสร็จ
    3. ค้นหาและเก็บข้อมูลใบเสร็จที่อยู่ในอีเมล
    4. ออกใบแทนใบเสร็จในกรณีที่ใบเสร็จไม่มีหัวบิล

    สำหรับคนที่สนใจทดลองใช้งาน Payper สามารถติดต่อได้ตามรูปด้านล่าง:


    📄 References

    EEAT:

    Cozy web:

    Headless CMS:

    Zero UI:

    Query fanout:

  • สรุป 3-Phase Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าซื้อ จาก Webinar ของ Donald Miller: “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business”

    สรุป 3-Phase Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าซื้อ จาก Webinar ของ Donald Miller: “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business”

    ในวันก่อน ผมมีโอกาสได้เข้าร่วม webinar “The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business” ของ Donald Miller เจ้าของ Business Made Simple ธุรกิจที่คนทั่วไปเข้าถึงความรู้ทางธุรกิจได้มากขึ้น และช่วยให้ธุรกิจอื่นเติบโต

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุปเนื้อหาของ webinar ซึ่งพูดถึงแนวคิดและเครื่องมือ marketing ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจและทำธุรกิจกับเรา

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😘 Three Phases of a Relationship
    2. 🏡 House Analogy
      1. 🪜 Front Steps: Curiosity
      2. 🪑 Front Porch: Enlightenment
      3. 🚪 Front Door: Commitment
    3. 💪 Summary
    4. 📄 References

    😘 Three Phases of a Relationship

    Marketing เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรา (ธุรกิจ) และลูกค้า

    ความสัมพันธ์ในโลกนี้ประกอบด้วย 3 phases ได้แก่:

    1. Curiosity
    2. Enlightenment
    3. Commitment

    ยกตัวอย่างทั้ง 3 phases ในความสัมพันธ์แบบคู่รักและ marketing:

    PhaseLoveMarketing
    Curiosityสนใจในตัวอีกฝ่ายสนใจในสินค้า/บริการ
    Enlightenmentออกเดททำความรู้จักกันศึกษาเพิ่มเติม (เช่น อ่านรีวิว)
    Commitmentขอแต่งงานกดสั่งสินค้า/บริการ
    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)

    ทุกความสัมพันธ์จะต้องก้าวข้ามแต่ละ phase ตามลำดับ เช่น ถ้าเราอยากจะแต่งงาน เราจะขอแต่งงาน (commitment) เลยไม่ได้ แต่ต้องทำให้อีกฝ่ายสนใจ (curiosity) และทำความรู้จักกัน (enlightenment) ก่อน

    Marketing ก็เช่นกัน ถ้าเราอยากให้ลูกค้าซื้อ เราจะขอให้ลูกค้าซื้อของเลยไม่ได้ แต่เราจะต้องค่อย ๆ พาลูกค้าผ่านทีละ phase: ทำให้ลูกค้าสนใจเรา, ช่วยให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น, และขอให้ลูกค้าทำธุรกิจกับเรา

    ถ้าเราอยากให้ลูกค้าซื้อของกับเรา ในขั้นแรก เราจะต้องทำให้ลูกค้าสนใจเราให้ได้ก่อน


    🏡 House Analogy

    ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนบ้านที่เราต้องการชวนให้ลูกค้าเข้ามาอยู่ด้วย

    นั่นคือ ลูกค้าจะเข้าบ้านได้ (เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์กับเรา) จะต้องก้าวผ่าน 3 ส่วนของบ้าน:

    1. บันไดหน้าบ้าน (curiosity)
    2. ระเบียงหน้าบ้าน (enlightenment)
    3. ประตูหน้าบ้าน (commitment)
    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)

    บ้าน (marketing) ที่ดีควรจะมีทั้ง 3 ส่วน เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าถึงบ้านได้ง่าย

    ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ไม่ได้หมายความว่า ลูกค้าจะไม่ซื้อของกับเรา แต่ลูกค้าจะซื้อของกับเราได้ยากขึ้น (ลูกค้าต้องปีนขึ้นระเบียงบ้านโดยไม่มีบันได)

    (Note: การที่เรามี marketing ไม่ครบ 3 ส่วน แต่ยังมีลูกค้า ก็แสดงว่า สินค้า/บริการของเราเป็นที่ต้องการของตลาด จนขนาดลูกค้ายอมก้าวข้ามความยากลำบากในการซื้อสินค้า/บริการได้)

    .

    🪜 Front Steps: Curiosity

    ถ้าเราอยากจะปิดการขาย เราจะต้องเริ่มจากทำให้ลูกค้าหันมาสนใจและก้าวขึ้นบันไดหน้าบ้านให้ได้ก่อน

    Marketing ที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจได้ คือ ทำให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้า/บริการจะทำให้เขาอยู่รอด (survive) ได้ยังไง

    ในขั้นนี้ ลูกค้ายังไม่ต้องการรู้ว่า สินค้าเรามี features อะไรบ้าง หรือบริการของเราทำอะไรได้บ้าง เขาแค่ต้องการรู้ว่า เราจะช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ยังไง เช่น:

    • ช่วยสร้างรายได้เพิ่มไหม?
    • ช่วยลดรายจ่ายหรือเปล่า?
    • ช่วยรักษาสุขภาพไหม?
    • ช่วยให้มีชื่อเสียงมากขึ้นหรือเปล่า?

    ถ้าเราสามารถทำให้ลูกค้าเห็นใจความหลักนี้ได้ เขาก็จะหันมาสนใจเรา

    เราสามารถสื่อสารใจความนี้ผ่าน 5 survival soundbites หรือข้อความสั้น ๆ ที่เราสามารถพูดทวนซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกค้าจำขึ้นใจได้ ซึ่งย่อได้สั้น ๆ ว่า PEACE ดังนี้:

    1. P: problem – ปัญหาที่ลูกค้ามี (และเราสามารถแก้ได้)
    2. E: empathy – ความเข้าใจในความรู้สึกของลูกค้า
    3. A: answer – คำตอบของปัญหา (นั่นคือ สินค้า/บริการของเรา)
    4. C: change – การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
    5. E: end result – ผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ

    ยกตัวอย่างบริษัทขายแว่นแฟชั่นราคาถูกเพื่อตอบโจทย์แว่นแฟชั่นราคาแพง:

    Source: The 5 Simple Soundbites That Will Grow Your Business webinar by Donald Miller (2025)
    1. Problem: Designer eyewear is outrageously expensive.
    2. Empathy: We know how painful it is to spend $300-500 for a pair of glasses.
    3. Answer: Get high-quality, affordable glasses delivered to your home, risk-free.
    4. Change: Don’t be one of the fools who pays too much for a pair of glasses.
    5. End result: Look great in your new glasses and still have plenty of money in the bank.

    แปลไทย:

    1. Problem: แว่นแฟชั่นมีราคาแพงเว่อร์
    2. Empathy: เรารู้ว่า มันน่าเจ็บใจขนาดไหนที่ต้องจ่ายเงิน $300-500 เพื่อแว่นอันเดียว
    3. Answer: ซื้อแว่นคุณภาพ ราคาถูก จัดส่งแบบไร้ความเสี่ยงถึงหน้าบ้าน
    4. Change: ไม่ต้องเป็นคนโง่ที่หลงจ่ายเงินซื้อแว่นราคาแพง
    5. End result: เปลี่ยน look ให้ดูดีกับแว่นใหม่ และยังมีเงินเก็บในธนาคารอีกเพียบ

    จะสังเกตว่า ทั้ง 5 soundbites ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่ชวนให้ลูกค้าหันมาสนใจได้ โดย:

    1. Problem เปิดเรื่องให้ลูกค้าอยากรู้อยากเห็น
    2. Empathy ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราเข้าใจปัญหาของเขา
    3. Answer ชี้ทางสว่างให้กับลูกค้า (เชื่อมโยงสินค้าเข้ากับปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้)
    4. Change ชวนมองสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
    5. End result วาดภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ลูกค้าเห็น

    เมื่อเราใช้ทั้ง 5 soundbites สำเร็จ ลูกค้าก็เหมือนก้าวขึ้นมาตามขั้นบันไดทั้ง 5 ขึ้นมายืนบนระเบียงหน้าบ้านของเรา

    .

    🪑 Front Porch: Enlightenment

    ถ้าลูกค้ามาอยู่บนระเบียงหน้าบ้านแล้ว แสดงว่า เขาอยากทำความรู้จักสินค้า/บริการของเราเพิ่มเติม

    หน้าที่ของเราใน phase นี้ คือ ให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจของลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้ผ่าน due diligence documents หรือเอกสาร marketing ที่เราส่งให้กับลูกค้า เช่น:

    • Lead generator: PDF ให้ความรู้ที่เปิดให้โหลดได้ฟรี
    • Social campaign: campaign ที่ชวนให้ลูกค้าโพสต์รูปสินค้า และติด hashtags ลงใน Instagram
    • Educational content: อีเมลหรือบทความให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาที่ลูกค้ามีและทางแก้ปัญหา

    หลังจากได้รับข้อมูลแล้ว และลูกค้ารู้สึกว่าสินค้า/บริการตอบโจทย์ เขาก็พร้อมที่จะก้าวผ่านประตูหน้าบ้าน

    .

    🚪 Front Door: Commitment

    ในจุดนี้ เราจะไม่ปล่อยให้ลูกค้าเดินเข้าบ้านเอง แต่จะต้องเชิญชวนให้ลูกค้าอยากก้าวเข้าไปด้วย

    การที่เราไม่มีประตูบ้าน ก็เหมือนร้านค้าที่ไม่มี cashier เก็บเงิน ลูกค้าอาจจะหยิบสินค้าใส่ตะกร้าแล้ว แต่ถ้าไม่มี cashier ลูกค้าก็จ่ายเงินซื้อของไม่ได้ และเราจะปิดการขายไม่ได้

    Marketing ที่เราจะต้องทำในจุดนี้ คือ call to action

    เหมือนกับการแต่งงาน เราจะแต่งงานกับคนที่เรารักไม่ได้ถ้าไม่ขอแต่งงานกัน การขายก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ขอให้ลูกค้าซื้อ เขาก็อาจจะไม่ซื้อของกับเรา

    ตัวอย่าง call to action ที่เราสามารถทำได้ เช่น:

    • ปุ่มสั่งซื้อบนหน้าเว็บ: “Buy now”, “Get one today”
    • ข้อความตอนหน้าสั่งซื้อ: “ส่งฟรี”, “ไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน”
    • Time-sensitive offer: โปรโมชั่นลดเวลาในช่วงเวลาที่กำหนด

    ถ้า call to action ของเราได้ผล ลูกค้าก็จะก้าวเข้ามาในบ้านของเรา ซึ่งหมายถึงเราได้พาลูกค้าผ่านมาทั้ง 3 phases ได้สำเร็จ

    ถ้าเราทำ marketing ได้ครบทั้ง 3 phases เราก็จะเห็นจำนวนลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเราทำให้ลูกค้าเข้ามาหาเราได้ง่ายขึ้น


    💪 Summary

    Marketing เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรา (ธุรกิจ) และลูกค้า และประกอบด้วย 3 phases ซึ่งเปรียบได้เหมือนหน้าบ้านของเรา:

    1. Curiosity – บันไดหน้าบ้าน
    2. Enlightenment – ระเบียงหน้าบ้าน
    3. Commitment – ประตูหน้า

    ถ้าเราต้องการปิดการขาย เราจะต้องพาลูกค้าผ่านทั้ง 3 phases โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้:

    1. Curiosity – 5 survival soundbites หรือ 5 ข้อความสั้น ๆ ที่เชื่อมสินค้า/บริการเข้ากับปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้
    2. Enlightenment – due diligence documents เช่น PDF ให้ความรู้
    3. Commitment – call to action เช่น โปรโมชั่นลดราคาในเวลาจำกัด

    เมื่อเราทำ marketing ตามกรอบแนวคิดนี้แล้ว เราจะเห็นลูกค้าและยอดขายที่เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าสังเกตเห็น ทำความรู้จัก และตอบรับสินค้า/บริการของเราได้ง่ายขึ้น


    📄 References

  • สรุป 7 ประเด็น AI Transformation จาก 7 Speakers ในงาน DigiTech ASEAN Thailand 2025

    สรุป 7 ประเด็น AI Transformation จาก 7 Speakers ในงาน DigiTech ASEAN Thailand 2025

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุป 7 ประเด็น AI transformation จาก 7 speakers บนเวที Global Tech Conference ในงาน DigiTech ASEAN Thailand 2025 เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา:

    1. Future trends: แนวโน้ม AI ในโลกอนาคต
    2. How to AI transformation: แนวคิดในการทำ AI transformation ในองค์กร
    3. Factors to consider: ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการทำ AI transformation
    4. People management: การบริหารพนักงานในองค์กรในยุคของ AI
    5. Risks to consider: ความเสี่ยงในการทำ AI transformation
    6. AI solution showcases: ตัวอย่าง AI solutions จาก SCBX และ KBTG
    7. Surviving in the age of AI: แนวคิดในการเอาตัวรอดในยุค AI

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 🚀 Topic 1. Future Trends
      1. 🤖 AI Is Here to Stay.
      2. 😎 AI, More Agentic
      3. 🤝 Human-AI Collaboration
    2. 👷 Topic 2. How to AI Transformation
      1. 🫨 Pain Points
      2. 💪 Prioritise, Relentlessly
      3. ⛰️ Set Goal & Plan
      4. 👄 Communicate
      5. 📋 Track Success
    3. ☝️ Topic 3. Factors to Consider
    4. 🤠 Topic 4. People Management
      1. ♥️ Mindset
      2. 😈 Building Culture
      3. 👶 Generation Gap
    5. 🚨 Topic 5. Risks to Consider
    6. 👾 Topic 6. AI Solution Showcases: SCBX & KBTG
      1. 🟣 SCBX
    7. 🟢 KBTG
    8. 💡 Topic 7. Surviving in the Age of AI
    9. 🎤 List of Sessions
    10. 🔗 Related Links

    ประเด็นในเรื่อง future trends มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่:

    1. AI is here to stay
    2. AI, more agentic
    3. Human-AI collaboration

    .

    🤖 AI Is Here to Stay.

    AI ก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ในยุคก่อน เราไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปในยุคที่ไม่มี AI อีกแล้ว และเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ AI

    .

    😎 AI, More Agentic

    การใช้งาน AI เปลี่ยนจากการใช้ GenAI มาเป็น agentic AI มากขึ้นเรื่อย ๆ (สอดคล้องกับเวทีในปีก่อนที่บอกว่า การใช้ AI ในปี 2025 จะกลายมาเป็น agentic AI)

    .

    🤝 Human-AI Collaboration

    มนุษย์จะยังคงเป็นส่วนสำคัญในโลก แต่บทบาทของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไป แต่เปลี่ยนแปลงไปยังไง ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด


    👷 Topic 2. How to AI Transformation

    แนวคิดในการทำ AI transformation ในองค์กรมีอยู่ 5 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Pain points
    2. Prioritise, relentlessly
    3. Set goal and plan
    4. Communicate
    5. Track success

    .

    🫨 Pain Points

    เราไม่ควร transform เพียงเพราะองค์กรอื่นทำได้ เพราะแต่ละองค์กรมีบริบทที่แตกต่างกัน การที่ Amazon ทำได้ ไม่ได้หมายความว่า Google หรือเราจะทำได้ด้วยวิธีการเดียวกัน

    AI transformation ไม่มี one-size-fits-all และสิ่งที่เราต้องการหา pain point ให้เจอ: อะไรคือปัญหาที่เราต้องการแก้ในองค์กรของเรา?

    วิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรามองเห็นปัญหาได้ คือ การลงไปดูหน้างานจริง

    ยกตัวอย่าง Makro ที่พบว่า พนักงานมีปัญหาในการยกถุงผงซักฟองลงจากชั้นวาง เพราะพนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและถุงผงซักฟองมีน้ำหนักมาก Makro จะไม่เห็นปัญหานี้เลยถ้าผู้จัดการนั่งอยู่แต่ในออฟฟิศ เพราะบนรายงานการขาย เราจะเห็นแค่ว่าผงซักฟองเป็นสินค้าขายดี

    .

    💪 Prioritise, Relentlessly

    ในองค์กร เราอาจจะมีปัญหามากมายที่เราต้องการแก้ไข:

    • เพิ่ม productivity
    • พัฒนา product ใหม่
    • เพิ่ม engagement กับลูกค้า

    แต่ด้วยเวลาและงบประมาณ เราจะต้องเลือกว่าจะจัดการปัญหาไหนก่อน

    เราจะต้องคอยจัดลำดับความสำคัญอย่างไม่ลดละเพื่อไม่ให้เราหลงทางในยุคที่การเปลี่ยนแปลงและปัญหาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    เรามี 3 frameworks ที่ช่วยเราได้:

    Framework #1. Impact: ดูว่า AI solution ที่เราจะทำ สามารถใช้ได้ทั้งในระดับกลุ่ม (group level) และบริษัท (company level) ไหม

    Framework #2. Priority: ดูความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ (feasibility) และคุณค่าทางธุรกิจ (business value) ที่เราจะได้รับ

    Framework #3. Innovation: ดูว่า AI solution ที่เราต้องการมีคนทำอยู่แล้วไหม (off-the-shelf solution) และระดับความต้องการของเรา (need)

    .

    ⛰️ Set Goal & Plan

    เมื่อเราได้ปัญหาที่เราต้องการแก้ไขแล้ว สิ่งต่อไปที่เราต้องทำ คือ กำหนดเป้าหมายและวางแผน

    เราอาจจะวางแผน 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี ซึ่งยิ่งแผนระยะยาวเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสจะเปลี่ยนได้ง่าย เพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างแผน 5 ปีในปีนี้อาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับแผน 5 ปีในปีหน้า

    แต่มีแผนดีกว่าไม่มีแผน เพราะอย่างน้อย เราจะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไร และแม้แผนจะเปลี่ยน แต่เป้าหมายเรายังเหมือนเดิม

    .

    👄 Communicate

    การตั้งเป้าหมายไม่พอ เรายังต้องสื่อสารและทำให้แน่ใจว่า ทุกคนเห็นและเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน

    ถ้าเราทำให้ทุกคนเห็นเป้าหมายเดียวกันได้ แม้ต่างคนต่างจะมี job to be done ที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็จะยังเดินไปในทิศทางเดียวกัน

    .

    📋 Track Success

    สุดท้าย เราจะต้องคอยติดตามผลความคืบหน้า เพื่อให้เราปรับเปลี่ยนวิธีการตามหน้างาน และทำให้แน่ใจว่า เรายังมุ่งหน้าไปในทิศที่เราต้องการอยู่


    ☝️ Topic 3. Factors to Consider

    เรามีปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการทำ AI transformation มีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่:

    1. People: พนักงานและลูกค้าของเรา
    2. Culture: วัฒนธรรมขององค์กร
    3. Systems/tools/tech: ระบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยี
    4. Finance: เงิน (เพราะองค์กรอยู่ได้ด้วยเงินทุน)

    People เป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเราโฟกัสที่ technology แต่พนักงานหรือลูกค้าไม่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือใหม่ เราอาจจะได้ AI solution ที่ไม่มีใครใช้


    🤠 Topic 4. People Management

    การบริหารพนักงานในยุคของ AI มีอยู่ 3 หัวข้อ ได้แก่:

    1. Mindset
    2. Building culture
    3. Generation gap

    .

    ♥️ Mindset

    สิ่งที่เราต้องการในพนักงาน คือ mindset เพราะถ้าขาด mindset ที่เหมาะสม ไม่ว่าเราจะทำ AI transformation ดีขนาดไหน ก็อาจจะไม่สำเร็จ

    Mindset อาจจะเริ่มที่ตัวเราก่อน เช่น ถ้าเราอยากทำ AI transformation แต่เราไม่ชอบ AI เราต้องหันกลับมามองว่า ถ้า AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเราหรือเปล่าที่จะต้องเปลี่ยน

    ถ้าเราไม่เปลี่ยน โลกก็จะเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีเรา

    .

    😈 Building Culture

    สิ่งที่เราต้องการในองค์กร คือ diversity

    เราไม่ต้องการพนักงานที่มีลักษณะนิสัยเหมือนกันหมด เพราะ culture ที่มีคนแบบเดียวกัน คือ culture ที่จะหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงได้ยาก

    ในการคัดเลือกพนักงาน เราไม่ควรปล่อยให้หัวหน้างานเลือกพนักงานเอง แต่ควรมีกระบวนการที่จะช่วยให้เราคัดเลือกพนักงานอย่างไม่ลำเอียงได้ เช่น มีการสัมภาษณ์หลายครั้งเพื่อให้ได้ความเห็นจากหลายมุมมอง

    นอกจากนี้ เราควรบอกว่า คนที่เป็น “ขบถ” หรือแตกต่าง มากกว่ามองหา “ขนมเปี๊ยะ” หรือคนที่ดูภายนอกหน้าตาเหมือนกันไปหมด

    .

    👶 Generation Gap

    Generation gap เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่

    แต่ละ generation มีมุมมอง จุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางทีก็ทำให้เกิด conflict ระหว่างพนักงานได้

    ถ้าเราอยากทำให้เกิด collaboration แทน เราจะต้องโฟกัสไปที่จุดแข็งของแต่ละ generation เช่น:

    • Generation ที่อายุมากกว่า อาจจะไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเท่ากับรุ่นใหม่ แต่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า
    • Generation ที่อายุน้อยกว่า แม้จะไม่มีประสบการณ์เท่ากับคนรุ่นก่อน แต่ก็มีความเชี่ยวชาญและคุ้นชินกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากกว่า

    ถ้าเราสามารถดึงจุดแข็งของแต่ละรุ่นขึ้นมา เราก็จะทำให้เกิด collaboration ระหว่างพนักงานในองค์กรได้


    🚨 Topic 5. Risks to Consider

    ความเสี่ยงในการทำ AI transformation มีอยู่ 8 ข้อ ได้แก่:

    1. Cybersecurity threat: ความปลอดภัยของระบบ
    2. Employee resistance: การต่อต้านของพนักงาน
    3. Cost overrun: ใช้งบประมาณเกินกำหนด
    4. Data loss: การสูญเสียข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลที่สำคัญต่อองค์กร
    5. Vendor lock-in: การพึ่งพา vendor แค่เจ้าเดียว
    6. Compliance issues: ปัญหาการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ
    7. System downtime: ระบบหยุดทำงานและส่งผลต่อการทำงานของพนักงาน
    8. Integration challenges: ความท้าทายในการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ

    👾 Topic 6. AI Solution Showcases: SCBX & KBTG

    .

    🟣 SCBX

    SCBX นำเสนอ 2 ตัวอย่างการใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาในองค์กร ได้แก่:

    1. ARIS (Advanced Reputation Intelligence System)
    2. PITAG (Predictive Intelligence for Tactical Anti-fraud Guardian)

    Case 1. ARIS เป็นระบบตรวจจับ incident หรือเหตุการณ์ที่อาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงขององค์กร ซึ่งช่วยให้ SCBX สามารถรับรู้และรับมือ incident ต่าง ๆ (เช่น ข่าวว่าแอป SCB ถูกแฮ็ก) ได้อย่างทันท่วงที

    ARIS มีการทำงาน 4 ขั้นตอน:

    1. Data pruning: คัดกรอง content บนอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับ SCBX (เช่น แอป SCB)
    2. Sentiment analysis: แยกประเภท content เป็นเขียว เหลือง และแดง พร้อมจับกลุ่ม content ที่อยู่ในหัวข้อเดียวกัน (เช่น แอป SCB ขัดข้อง)
    3. Incident detection: ประเมินว่า แต่ละหัวข้อ (แอป SCB ขัดข้อง) เป็น incident ไหม และถ้าใช่ เป็น incident ระดับไหน
    4. Real-time dashboard: แสดงผลบนหน้าจอ เพื่อให้พนักงานรับรู้ถึง incident ได้แบบ real-time

    Case 2. PITAG เป็น agentic AI สำหรับตรวจจับ fraud และแบ่งการทำงานเป็น 4 ขั้นตอน:

    1. Data collector agent: รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ทั้งข้อมูลบนระบบ และข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ (เช่น หน่วยงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง)
    2. Investigator agent: ตรวจสอบข้อมูลและประเมินแนวโน้มที่จะเป็น fraud
    3. Executor agent: จัดการกับเคสความเสี่ยง (เช่น โทรขอข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกค้า หรือจำกัดวงเงินในการใช้งาน)
    4. Governance agent: กำกับการทำงานของ agents ให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ

    .

    🟢 KBTG

    KBTG นำเสนอ 6 AI use cases ในองค์กร ได้แก่:

    1. Increase revenue: เพิ่มรายได้ให้กับองค์กร เช่น เพิ่มยอด sales leads, เพิ่มยอด conversion ผ่าน product และ promotion recommendation
    2. Reduce risk: ลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรม เช่น การประเมิน credit score
    3. Streamline operation: ลดเวลาในการทำงาน เช่น ใช้ AI ช่วยประเมินความเสียหายของรถยนต์ และปรับแต่งรูปอสังหาริมทรัพย์เพื่อลงประกาศขาย
    4. Protect customers: รักษาความปลอดภัยให้กับลูกค้า เช่น AINU ระบบยืนยันตัวตนด้วย AI
    5. Improve productivity: เพิ่ม productivity เช่น ใช้ AI ช่วยเขียน code ซึ่งลดเวลาจากหลายชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที
    6. New products/services: พัฒนา products ใหม่ ๆ เช่น แอปเหมียวจด และ Future You แอปสำหรับพัฒนาตัวเองผ่านการพูดคุยกับตัวเองในอนาคต

    💡 Topic 7. Surviving in the Age of AI

    ผมขอทิ้งท้ายบทความด้วย 10 ข้อคิดดี ๆ ในการเอาตัวรอดในยุค AI:

    1. Focus on one problem at a time. If you focus on many problems, a year from now you’ll still be where you are now.
    2. Break your goal into smaller ones. Get the small wins first.
    3. Don’t be afraid to fail; if you are, you’ve already failed.
    4. ผิดพลาดได้ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จะทำยังไงให้ไม่ผิดซ้ำ
    5. Be resilient, be persistent.
    6. เราไม่ต้องกลัว AI แทนที่เรา ถ้าเรายังพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
    7. คนที่จะมาแทนที่เราไม่ใช่ AI แค่คือคนที่ใช้ AI เก่งกว่าเรา
    8. สร้าง blue ocean ของตัวเอง ด้วยการทำสิ่งที่ไม่เหมือนใคร
    9. ทำงานเร็วจะต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริงและตรงเป้าหมาย ไม่อย่างนั้น ก็จะเป็นความเร็วไร้ทิศทางที่ทำให้เราพังเร็วขึ้น
    10. ความเร็วไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ละคนเก่งไม่เหมือนกัน เราจะต้องหาให้เจอว่า ใครทำอะไรได้ดีและหางานนั้นให้เขาทำ

    🎤 List of Sessions

    7 หัวข้อบนเวที Global Tech Conference:

    1. ดิจิทัลไม่ใช่แค่ฝ่าย IT แต่คือภารกิจของ CEO ในการขับเคลื่อนองค์กร โดย คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด, SCBX
    2. จากวิสัยทัศน์สู่ความเร็ว: คู่มือทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ยุคเรียลไทม์ โดย ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์, หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร, True Corporation
    3. Technology & Talent Transformation โดย คุณ Shaun Wong, Chief Corporate Planning Officer, CP Axtra
    4. พลิกมุมคิด ผู้นำ ธุรกิจยุคใหม่: ทรานส์ฟอร์มองค์กรอย่างไรให้รอดในปี 2030 โดย คุณกานติมา เลอเลิศยุติธรรม, รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรธิจองค์กร, AIS
    5. Smart CEO in AI Era: ผู้นำองค์กรต้องปรับตัวอย่างไรในโลกที่ AI วิ่งเร็วกว่าเรา โดย ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์, CEO, JIB AI
    6. จากดิจิทัลสู่ความอัจฉริยะ: ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีธุรกิจยุคใหม่ โดย ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล, กรรมการผู้จัดการ, KBTG
    7. The New Corporate DNA: สร้างองค์กรไว ปรับง่ายโตได้ทุกจังหวะ โดย คุณเปา พีรดนย์ เหมยากร, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง, iHAVECPU

  • สรุป 2 บทเรียนจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” โดยคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ในงาน PMAT 60th: Compassion และ DEMO — 2 เครื่องมือเพื่อความสำเร็จในการพัฒนา AI solution ในองค์กร

    สรุป 2 บทเรียนจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” โดยคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ในงาน PMAT 60th: Compassion และ DEMO — 2 เครื่องมือเพื่อความสำเร็จในการพัฒนา AI solution ในองค์กร

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุปเนื้อหาจาก workshop “Compassionate Leadership in the Age of AI” ของคุณดามพ์ (มงคล หงษ์ชัย) ผู้เชี่ยวชาญ agile leadership และ AI for future skills ในงาน PMAT 60th เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา

    โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่:

    1. Issues with AI adoption: ปัญหาการพัฒนา AI solution
    2. Compassion: เครื่องมือทำความเข้าใจคน
    3. DEMO: เครื่องมือทำความเข้าใจ process

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 😭 The Issue With AI Solutions
    2. 🫂 Compassion: Tool for Understanding the People
      1. ❤️ Empathy
      2. 🫂 Compassion
      3. 🧘 How to Develop Compassion
    3. 🦾 DEMO: Tool for Understanding Process
      1. 📊 Why DEMO?
      2. 👷 What Is DEMO?
      3. 🤖 DEMO & AI Solution
      4. 📋 How to DEMO
    4. 💪 Summary
    5. 📚 Further Reading

    😭 The Issue With AI Solutions

    95% ขององค์กรล้มเหลวในการสร้าง AI solution ที่สร้างกำไรได้จริง (The GenAI Divide: State of AI in Business 2025)

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวมีอยู่ 2 ข้อ ได้แก่:

    1. People: ขาดความเข้าใจในผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง (เช่น พนักงานที่ต้องใช้ AI)
    2. Process: ขาดความเข้าใจใน process งานที่นำ AI มาประยุกต์ใช้

    ซึ่งทำให้ AI solution ที่ออกแบบไม่ตอบโจทย์คนใช้งานและไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรได้

    เราสามารถแก้ทั้ง 2 สาเหตุนี้ได้ด้วย 2 เครื่องมือนี้:

    1. Compassion: ช่วยทำความเข้าใจคน
    2. DEMO: ช่วยทำความเข้าใจ process

    🫂 Compassion: Tool for Understanding the People

    .

    ❤️ Empathy

    ถ้าเราจะเข้าใจคนอื่นได้ เราจะต้องมี empathy

    Empathy เป็นคำที่มีคนพูดถึงอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะในองค์กรที่ทำงานกับ design thinking ซึ่งใช้ empathy เป็นเครื่องมือหลักในการทำความเข้าใจปัญหาของ user เพื่อออกแบบ solution ที่ตอบโจทย์ user อย่างแท้จริง

    Empathy ยังเป็น 1 ใน 4 ลักษณะสำคัญของ leader ในยุค VUCA (volatile, uncertain, complex, ambiguous) เคียงข้างกับ problem solving, relationship management, และ motivation อีกด้วย

    Empathy เป็นสิ่งจำเป็น เพราะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของคนอื่นได้ เพราะ leader ที่ไม่มี empathy จะไม่สามารถ engage คนอื่นได้ เพราะไม่สามารถสร้าง motivation ให้กับคนอื่นได้ (Connect with Empathy, But Lead with Compassion)

    แต่ empathy อย่างเดียวอาจไม่พอ และสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือ compassion

    .

    🫂 Compassion

    ในขณะที่ empathy ช่วยให้เรารับรู้ความรู้สึกและมุมมองของคนอื่น compassion ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าถึงความรู้สึกของคนอื่น แต่ยังรวมไปถึงความต้องการที่จะช่วยคนอื่นอีกด้วย

    Compassion แปลไทยได้ว่า “กรุณา” ซึ่งหมายถึง การช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ และคำที่มักมาคู่กัน คือ “เมตตา” ซึ่งแปลว่า การทำให้คนอื่นมีความสุข (Buddhist beliefs – Edexcel)

    Empathy เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เรา connect กับคนอื่นได้ แต่ถ้าเราจะเป็น leader ที่ดี เราจะต้องมี compassion ด้วย เพราะ empathy อย่างเดียวอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้ ตามคำของ Paul Polman อดีต CEO ของ Unilever:

    If I led with empathy, I would never be able to make a single decision. Why? Because with empathy, I mirror the emotions of others, which makes it impossible to consider the greater good.”

    แปล:

    ถ้าผมนำด้วย empathy ผมจะตัดสินใจไม่ได้สักอย่าง ทำไมหรอ? เพราะ empathy ทำให้ผมรู้สึกความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งทำให้ผมคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมไม่ได้

    มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงข้อเสียของ empathy

    ในงานวิจัย ผู้เข้าร่วมถูกขอให้เลือกว่า จะลัดคิวเด็กที่ป่วยหนักคนหนึ่งเพื่อให้ได้รับการรักษาก่อนคิวไหม โดยกลุ่มหนึ่งถูกขอให้ฟังและมีความรู้สึกร่วมในขณะที่เด็กเล่าถึงความเจ็บปวดจากโรค และอีกกลุ่มถูกขอให้ฟังโดยไม่ตัดสิน

    ผู้เข้าร่วมกลุ่มแรกเลือกที่จะลัดคิวให้เด็กมากกว่าผู้เข้าร่วมในกลุ่มหลัง แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จะคัดค้าน แม้ว่าการตัดสินใจลัดคิวจะเป็นผลดีต่อเด็ก แต่ทำให้ผู้ป่วยอื่น ๆ ที่อาจต้องการการรักษามากกว่าอยู่ในอันตรายได้ (Connect with Empathy, But Lead with Compassion)

    ดังนั้น เราไม่ควรมีแต่ empathy แต่ควรมี compassion ด้วย

    .

    🧘 How to Develop Compassion

    เราสามารถพัฒนา compassion ได้ 2 วิธี:

    วิธีที่ 1. ฝึกอยู่กับปัจจุบันทั้งกายและใจ

    แม้ว่าเวลาคุยกับคนอื่น เราอาจจะคิดว่าเราฟังอยู่ แต่จริง ๆ แล้วใจเราอาจไปอยู่ที่อื่น หรือเสียงในหัวเราอาจจะดังกลบเสียงคนที่กำลังพูด

    เราสามารถฝึก compassion ได้โดยกลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เราอยู่กับสิ่งที่คนอื่นกำลังพูดได้มากขึ้น

    เราสามารถฝึกอยู่กับปัจจุบันได้ผ่านการนั่งสมาธิ หรือง่ายกว่านั้น คือ การสังเกตสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา เช่น:

    • ลมหายใจเข้าออกของเรา
    • ผิวของเนื้อผ้าที่เราสวมใส่
    • แอร์หรือลมที่ตกกระทบผิวของเรา

    แค่เราฝึกสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงขณะ เราก็จะค่อย ๆ พัฒนา compassion ของเราขึ้นทีละนิด เพราะเราสามารถอยู่กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากทั้งกายและใจ

    วิธีที่ 2. ให้ AI ช่วย

    เราสามารถให้ AI ช่วยพัฒนา compassion ได้ เช่น:

    • เล่าสถานการณ์ที่เราพูดคุยกับคนอื่นให้ AI ฟัง เพื่อให้ AI ให้มุมมองใหม่ ๆ กับเรา พร้อมแนะนำวิธีแสดง compassion เพิ่มเติมได้ (Using AI to Make You a More Compassionate Leader)
    • ให้ AI ช่วย role-play กับเรา ให้เราได้ฝึก compassion เหมือนในหน้างานจริง

    🦾 DEMO: Tool for Understanding Process

    .

    📊 Why DEMO?

    ทุกองค์กรมี chart มากมายสำหรับแสดงข้อมูลต่าง ๆ เช่น flow chart สำหรับแสดงขั้นตอนการทำงานในองค์กร และ organisation chart ที่แสดงผังองค์กร

    Chart เหล่านี้ล้วนแสดงข้อมูลเป็นท่อน ๆ นั่นคือ แสดงรายละเอียดภาพย่อย แต่ขาดความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจในระดับบริหาร

    ยกตัวอย่างเช่น flow chart แสดงการเบิกจ่ายค่าเดินทางให้พนักงาน:

    ในรูป เราจะรู้ว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นก่อนพนักงานจะได้รับเงินค่าเดินทาง แต่เราไม่รู้ว่าขั้นตอนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ขององค์กรยังไงบ้าง เช่น:

    • แต่ละขั้นตอนมีใครเกี่ยวข้องบ้าง
    • มีเอกสารอะไรที่ต้องการใช้บ้าง
    • แต่ละขั้นตอนใช้เวลาเท่าไร

    ถ้าเราต้องการเห็นภาพรวมของการทำงานในองค์กร เราจะใช้ DEMO

    .

    👷 What Is DEMO?

    DEMO (ย่อมาจาก Design & Engineering Methodology for Organisations) เป็นหลักการในการออกแบบองค์กร ซึ่งมีวิธีการเขียน process ในระดับ high level ที่ช่วยให้ทำความเข้าใจและตัดสินใจได้ง่าย

    ยกตัวอย่างการเขียน process การเบิกค่าเดินทางแบบ DEMO:

    DEMO แสดง process ในรูปแบบของ transaction หรือการแลกเปลี่ยนระหว่าง 2 ฝ่าย ได้แก่:

    1. Initiator: คนที่เริ่มการแลกเปลี่ยน (เช่น พนักงานที่ขอเบิกค่าเดินทาง)
    2. Executor: คนที่ทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างในระบบ (เช่น ฝ่ายบัญชีที่อนุมัติจ่าย)

    ในแผนภาพแบบ DEMO (เรียกว่า OCD หรือ Organisation Construction Diagram) เราจะเห็นว่า:

    1. การเบิกจ่ายเงินมีกี่ transaction (ดูจาก T01, T02, …)
    2. แต่ละ transaction มีใครที่เกี่ยวข้องบ้าง
    3. แต่ละ transaction ใช้เวลาเท่าไร (ตัวเลขใต้ T0x เช่น T01 ใช้เวลา 1 วัน)

    OCD มาพร้อมกับตารางที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ transaction เช่น:

    TransactionDurationDocuments
    T01. ส่งเอกสาร1 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง, สำเนาบัตรประชาชน
    T02. อนุมัติเบิก1 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง
    T03. ส่งเรื่องเบิก2 วันฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, หลักฐานการเดินทาง
    T04. เบิกจ่าย3 วันอีเมลแจ้งการเบิกจ่าย

    เมื่อเราดู OCD และตารางประกอบกัน เราจะสามารถระบุปัญหาและจุดที่ควรแก้ไขได้ในทันที เช่น:

    1. เราตัดขั้นตอน T03 ออกได้ไหม? ให้ฝ่ายบัญชีจ่ายตรงให้พนักงานเลย
    2. ทำไม T03 ใช้เวลานาน? ลดเหลือ 1 วันได้ไหม?
    3. T01 ต้องใช้เอกสาร 3 อย่างเลยหรอ? ตัดสำเนาบัตรประชาชนออกได้หรือเปล่า?

    ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่ flow chart ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่า เราไม่สามารถตั้งคำถามเหล่านี้ได้ในทันที เพราะ flow chart ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอหรือจำเป็นต่อการตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลง process งาน

    ในทางตรงกันข้าม OCD สามารถให้ข้อมูลที่ช่วยให้เราทำความเข้าใจ process และระบุปัญหาที่ควรแก้ไขได้ในทันที

    .

    🤖 DEMO & AI Solution

    เราสามารถนำ DEMO มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ AI solution ให้เหมาะกับองค์กรได้

    ยกตัวอย่างเช่น สำหรับการเบิกค่าเดินทาง เราอาจจะอยากพัฒนา AI ขึ้นมาช่วยพนักงานยื่นเอกสารเบิกจ่าย (T01) แต่จะเห็นได้ว่า ถ้าเราทุ่มงบประมาณไปกับการพัฒนา AI ในส่วนนี้ เราจะลดภาระงานไปเพียง 1 วันเท่านั้น

    แต่ถ้าเราพัฒนา AI เพื่อมาช่วยฝ่ายบัญชีส่งต่อเอกสารให้กับฝ่ายการเงิน (T03) หรือช่วยฝ่ายการเงินตั้งจ่ายและส่งอีเมลยืนยันการจ่าย (T04) เราจะสามารถลดเวลาได้มากขึ้น เพราะทั้ง 2 จุดนี้ใช้เวลามากที่สุดในขั้นตอนทั้งหมด ถ้าเราพัฒนา AI เพื่อช่วย T03 และ T04 แล้ว เราจะลดเวลาในการทำงานลงไปกว่าครึ่งของ process ทั้งหมด (5 จาก 7 วัน)

    .

    📋 How to DEMO

    การเขียน OCD มีอยู่ 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Gather data: เก็บข้อมูล process งานจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (เช่น ฝ่ายบัญชี) โดยใช้ empathy และ compassion เพื่อช่วยให้เราเข้าใจและอยากช่วยเหลือ
    2. Categorise data: จัดกลุ่มข้อมูลได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่:
      1. Forma: วิธีการสื่อสาร (เช่น อีเมล, แบบฟอร์ม)
      2. Informa: สิ่งที่ต้องการสื่อสาร (เช่น คำขออนุมัติเบิกค่าเดินทาง)
      3. Performa: สิ่งที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ (เช่น การอนุมัติเบิก)
    3. Convert to transaction: เปลี่ยนข้อมูลให้เป็น transaction ที่มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่:
      1. Actors: initiator และ executor
      2. Documents: เอกสารที่เกี่ยวข้อง (เช่น ฟอร์มเบิกค่าเดินทาง, ใบเสร็จ)
      3. Duration: ระยะเวลาที่ใช้สำหรับ transaction นั้น ๆ (เช่น 1 วัน)

    💪 Summary

    องค์กรส่วนใหญ่ล้มเหลวในการพัฒนา AI solution ให้ตอบโจทย์ เพราะขาดความเข้าใจ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. People: ความเข้าใจในคนที่เกี่ยวข้อง
    2. Process: ความเข้าใจในกระบวนการทำงานที่จะเอา AI solution เข้าไปช่วย

    เราสามารถแก้ทั้ง 2 สาเหตุนี้ได้ โดยใช้:

    1. Compassion เพื่อทำความเข้าใจคน
    2. DEMO เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการทำงาน

    📚 Further Reading

    สำหรับคนที่สนใจศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อในบทความนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ตามนี้

    Compassion:

    DEMO:

    Bonus — สรุปงาน PMAT 60th:

  • สรุปความรู้จาก 4 Sessions ในงาน Work Life Festival 2025: การเอาตัวรอดในอนาคต, วิธีหาเงินโดยทำงานน้อยลง, เคล็ดลับการสร้างรายได้, และการลงทุน

    สรุปความรู้จาก 4 Sessions ในงาน Work Life Festival 2025: การเอาตัวรอดในอนาคต, วิธีหาเงินโดยทำงานน้อยลง, เคล็ดลับการสร้างรายได้, และการลงทุน

    Work Life Festival 2025 เป็น event ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7–8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยในงานมีเวทีนำเสนอในหลากหลายหัวข้อที่ตอบโจทย์วัยทำงาน เช่น:

    • การเงินการลงทุน
    • การทำธุรกิจ
    • การพัฒนาทักษะ
    • การใช้ชีวิต

    ในบทความนี้ ผมจะมาสรุปเนื้อหาจาก 4 sessions ที่น่าสนใจที่ผมมีโอกาสได้ไปร่วมฟัง:

    1. The Future of Work (กษิดิศ สตางค์มงคล): วิธีการเอาตัวรอดในโลกอนาคต
    2. Barista FIRE (วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์): วิธีการเกษียณก่อนอายุ ทำยังไงให้ทำงานน้อยลงแต่มีรายได้และเวลาเพิ่มขึ้น?
    3. Income Maximisation Strategy (ศิวกร ปล้องใหม): วิธีเพิ่มรายได้ให้ถึงขีดสุด
    4. Purpose First, Market Later (ศรารัญย์ คาน): วิธีการลงทุนให้ตอบโจทย์ชีวิต

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. 🦾 The Future of Work: Why Now Is the Best Time to Build One-Person Business
      1. 🧘 Mindsets for Survival
      2. 🤔 Future Jobs
      3. 🏦 First-Principles for One-Person Business
      4. 🧑‍💼 One-Person Business Philosophy
    2. 🧧 Barista FIRE: แผนที่สู่อิสระกึ่งเกษียณ ทำงานที่อยากทำ ไม่ใช่เพราะต้องทำ
      1. 📖 Backstory
      2. 🔥 FIRE & Barista FIRE
      3. 🪜 How to Barista FIRE
      4. ☕ Example
      5. 🙋 Start With This Question
    3. 💰 Income Maximisation Strategy: กลยุทธเรียบง่ายเพิ่มรายได้ให้ถึงขีดสุด
      1. 🚲 The Three Wheels of Income
      2. 🚴 How to Move the Wheel
      3. 🔥 Expand Existing Income
      4. ⌨️ Find Extra Income
    4. 📊 Purpose First, Market Later: The Three Pillars of Lifelong Investing
      1. 💸 Investing Not Required, Or Not?
      2. 💖 Put Purpose First
      3. 🪙 Compound Interest
      4. 📘 Free Investment Playbooks
    5. 📃 References

    🦾 The Future of Work: Why Now Is the Best Time to Build One-Person Business

    Speaker: กษิดิศ สตางค์มงคล (Digital Writer & Data Analyst, DataRockie)

    .

    🧘 Mindsets for Survival

    ไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต:

    • AI ฉลาดขึ้น
    • สิ่งแวดล้อมแย่ลง
    • วิกฤตเศรษฐกิจ
    • สงครามและความขัดแย้ง

    ถ้าจะอยู่รอด เราจะต้องมี mindset 2 ข้อ:

    1. Accept that everything/reality is just the way it is: ยอมรับในสิ่งที่เป็น ไม่ปฏิเสธหรือต่อต้าน
    2. No one is coming to save you: ไม่ใครจะช่วยเราได้ (นอกจากตัวเราเอง)

    .

    🤔 Future Jobs

    Job ในอนาคตจะเปลี่ยนจาก job แบบที่พ่อแม่เราทำ (หางานและอยู่กับมันไปนาน ๆ) ไปเป็น job ที่เราสร้างเอง นั่นคือ การสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง (one-person business)

    งาน office มีข้อเสียอยู่ 2 ข้อ:

    1. Less secure: แม้จะดูมั่นคง แต่ก็ไม่เสมอไป หลายองค์กร lay off พนักงาน ทั้งตอน COVID-19 และเมื่อ AI เริ่มเข้ามาแทนที่คน ไม่มีอะไรการันตีว่า เราจะอยู่กับงานที่ทำไปจนเกษียณ
    2. Effort ≠ reward: ไม่ว่าเราจะทุ่มเทให้กับงานขนาดไหน แต่ไม่มีอะไรการันตีว่า เงินเดือนของเราจะสูงขึ้นตามไป เช่น เราให้เวลากับงานในปีนี้เป็น 2 เท่า แต่ในปีหน้า เราอาจไม่ได้รับเงินเดือนเพราะเศรษฐกิจไม่ดี และเราจะโชคดีมากที่ไม่ถูก lay off

    ในทางกลับกัน การมีธุรกิจเป็นของตัวเองมีข้อดี 2 ข้อ:

    1. More secure: แม้จะไม่มั่นคง 100% แต่ตราบใดที่เรายังสามารถส่งมอบ value ให้กับโลกได้ เราจะสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและไม่ต้องกลัวตกงาน
    2. More control: เราควบคุมผลลัพธ์ได้มากกว่า เช่น สร้างรายได้เป็น 2 เท่าจากความพยายามที่เพิ่มขึ้น 2 เท่า

    .

    🏦 First-Principles for One-Person Business

    เรามีหลักคิด 5 ข้อในการสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง:

    1. Worthy goal: มองหาเป้าหมายที่คุ้มค่าที่จะลอง
    2. Work harder on yourself (than on your job): ทุ่มเทไปกับการพัฒนา/ดูแลตัวเอง มากกว่าทุ่มเทให้กับงานที่ทำ (แนวคิดจาก Jim Rohn นักธุรกิจและนักเขียนชาวอเมริกัน)
    3. Always read: จงอ่านอยู่เสมอ เพราะการเรียนคือชีวิต ไม่ใช่การเตรียมตัวเพื่อใช้ชีวิต (อิงจาก quote ของ John Dewey นักปรัชญาและนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน)
    4. Focus on what you can control: โฟกัสกับสิ่งที่เราควบคุมได้ เพราะสิ่งเดียวที่ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ คือ อิสระในการเลือกของเรา (แนวคิดจาก Viktor Frankl นักจิตวิทยาชาวออสเตรียและผุ้รอดชีวิตจากค่ายกักกันของนาซี)
    5. Relentless pursuit: ทำทุกวัน ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำวันละเล็กละน้อยสะสมไป เช่น ถ้าเราอ่านหนังสือเดือนละเล่ม ใน 10 ปีข้างหน้า เราจะมีความรู้เพิ่มขึ้นขนาดไหน

    .

    🧑‍💼 One-Person Business Philosophy

    Key takeaway สำหรับการสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง คือ:

    Use your skills to build something of value and monetise it through the internet.


    🧧 Barista FIRE: แผนที่สู่อิสระกึ่งเกษียณ ทำงานที่อยากทำ ไม่ใช่เพราะต้องทำ

    Speaker: วิฑูรย์ สูงกิจบูลย์ (ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ spAcebook, เจ้าของเพจ สรุปให้)

    .

    📖 Backstory

    เมื่อ 10 ปีก่อน คุณวิฑูรย์เคยทำงานเป็นผู้บริหารเงินเดือน 6 หลักและมีชีวิตที่เพียบพร้อม ทั้งเงิน บ้าน รถ และครอบครัว

    แต่สิ่งที่ขาดไป คือ ความสุข

    คุณวิฑูรย์มีทุกอย่าง แต่ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว คุณวิฑูรย์และภรรยาต่างก็เป็นผู้บริหารที่ทำงานหนักด้วยกันทั้งคู่ คุณวิฑูรย์ทำงานหนักจนกระทั่งว่า ลูกคนหนึ่งจะต้องไปอยู่กับยาย/ย่า เพราะทั้งคุณวิฑูรย์และภรรยาไม่มีที่เลี้ยงดูลูกได้อย่างเต็มที่

    ทางเลือกของคุณวิฑูรย์มีอยู่ 2 ทาง:

    1. มีทุกอย่าง แต่ไม่มีเวลาให้กับลูก
    2. ทำงานน้อยลง แต่มีเวลาให้กับลูก

    แน่นอนว่า คุณวิฑูรย์เลือกทางเลือกที่ 2

    คุณวิฑูรย์ไม่ได้ออกจากงานในทันที แต่ก็ไม่ได้แผนที่ชัดเจนตอนออกจากงาน

    14 งาน คือ งานที่คุณวิฑูรย์ทดลองทำหลังออกจากงาน ตั้งแต่งานแปลเอกสารไปจนถึงขายของในตลาดนัด

    ทางเดินของคุณวิฑูรย์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และในวันนี้ คุณวิฑูรย์จะมาแชร์แนวคิดการที่ช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานน้อยลง แต่มีรายได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น และมีเวลาให้กับชีวิตมากขึ้น

    .

    🔥 FIRE & Barista FIRE

    แนวคิดที่ว่า คือ FIRE (financial independence, retire early) ซึ่งเป็นวิธีสร้างอิสระทางการเงินด้วยการเก็บออมเงินในขณะที่ยังทำงานอยู่ เพื่อให้สามารถเกษียณตอนอายุยังน้อยและยังมีเงินใช้จ่ายโดยไม่ต้องทำงานอีก

    Barista FIRE เป็น FIRE ที่ลดความเข้มข้นในการเก็บออมลงมา โดยแทนที่เราจะออมให้ได้มากพอที่จะสำหรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ เราจะเก็บเงินแค่ให้มากสำหรับใช้จ่ายบางส่วน และหารายได้เสริมเพื่อดูแลค่าใช้จ่ายที่เหลือ

    .

    🪜 How to Barista FIRE

    การออมแบบ barista FIRE มีอยู่ 3 ขั้นตอน ดังนี้:

    1. ออม: เก็บเงินในระหว่างที่ยังทำงานประจำอยู่
    2. ลงทุน: เอาเงินออมไปลงทุนให้ได้ port ขนาด 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปี เพื่อให้มี passive income 4% ของค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ
    3. เกษียณ: ออกจากงาน ใช้งานด้วย passive income + ทำงานเสริม

    .

    ☕ Example

    ตัวอย่างการออมเงินให้พอสำหรับเกษียณ:

    ถ้าเรามีค่าใช้จ่าย 120,000 บาทต่อปี เราจะต้องสร้าง port ให้ได้ขนาด:

    12,000 * 25 = 3,000,000 บาท

    และเราต้องการทำ port ให้ได้ภายใน 5 ปี (60 เดือน) เราจะต้องเก็บเงินเดือนละ:

    3,000,000 / 60 = 50,000 บาท

    .

    🙋 Start With This Question

    Barista FIRE เป็นแนวทางที่จะช่วยให้เรามีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งเราสามารถเริ่มได้ด้วยการถามตัวเองว่า:

    เงินขั้นต่ำที่ทำให้เราอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน คือ เท่าไร?


    💰 Income Maximisation Strategy: กลยุทธเรียบง่ายเพิ่มรายได้ให้ถึงขีดสุด

    Speaker: ศิวกร ปล้องใหม (Founder of Nack Siwakorn)

    .

    🚲 The Three Wheels of Income

    รายได้มาจาก 3 ทาง:

    1. หาเงิน
    2. ออมเงิน
    3. ลงทุน

    แต่ละทางเป็นเหมือนล้อจักรยานที่เราต้องออกแรงปั่นเพื่อให้จักรยานเคลื่อนไปข้างหน้า ในช่วงแรก เราจะต้องออกเยอะหน่อย แต่เมื่อล้อหมุนเองได้แล้ว เราจะออกแรงน้อยลงและมีเวลาพักจากการปั่นจักรยานมากขึ้น

    .

    🚴 How to Move the Wheel

    ใน 3 ทางนี้ ทางที่สำคัญที่สุด คือ หาเงิน

    ถ้าเรามีเงินทุนเยอะ เราจะสามารถออมและลงทุนได้มากขึ้น นั่นคือ วงล้อการเงินของเราจะหมุนได้ง่ายขึ้น

    เราสามารถเพิ่มรายได้ด้วย 2 วิธี:

    1. เพิ่มรายได้ที่มีอยู่
    2. หารายได้เสริม

    .

    🔥 Expand Existing Income

    การหาเงินไม่มีอยู่จริง เราไม่สามารถมองหาเงินและเจอเงินล้านตกอยู่บนพื้นได้

    ถ้าเราต้องการหาเงิน สิ่งที่เราต้องมองหาไม่เงิน แต่คือปัญหา

    ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาให้กับกลุ่มคนที่ต้องการทางออกได้ เราก็จะได้เงินที่เรามองหา

    การทำงานทุกอย่างคือการแก้ปัญหา เช่น การติว IELTS คือการแก้ปัญหาการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้กับนักเรียนม.ปลาย

    เราสามารถเพิ่มรายได้ที่มีอยู่ได้ 2 ทาง:

    1. แก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น: เช่น สอน IELTS ให้พนักงานที่ต้องการทำงานในองค์กรต่างชาติ ซึ่งมีกำลังจ่ายมากกว่านักเรียนม.ปลาย
    2. แก้ปัญหาให้คนมากขึ้น: เช่น เปลี่ยนการสอนแบบตัวต่อตัว เป็นสอนแบบกลุ่ม

    .

    ⌨️ Find Extra Income

    อีกวิธีในการเพิ่มรายได้ คือ ทำงานเสริม

    งานเสริมที่เราสามารถทำได้ เช่น:

    • Video editor
    • Graphic designer
    • Content creator
    • Fitness coach
    • Financial advisor
    • Tutor
    • Consultant
    • Seller
    • อื่น ๆ

    หลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวการเริ่มทำงานเสริม เช่น:

    1. ไม่รู้จะทำอะไร
    2. ทำไม่เป็น
    3. ไม่มีทุน
    4. ไม่มี passion

    แต่ทุกคำถามมีคำตอบ:

    1. ไม่รู้จะทำอะไร → ออกไปหา ไปทดลองเพื่อให้รู้ว่าอยากทำอะไร
    2. ทำไม่เป็น → เราแค่ต้องฝึกฝนเพิ่ม
    3. ไม่มีทุน → เราสามารถเก็บเงินเพื่อสร้างทุน หรือเริ่มทำในสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินก่อนได้
    4. ไม่มี passion → เราไม่มี passion เพราะเราทำได้ไม่ดี และเราทำได้ไม่ดีเพราะยังไม่ได้ลองทำ ดังนั้น ทางออกคือเริ่มลงมือทำ

    เราไม่จำเป็นต้องพร้อม 100% ก่อนจะเริ่ม เราสามารถเริ่มได้โดย focus ที่ 4 อย่างนี้:

    1. Now: ทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ทันที
    2. Doable: ทำสิ่งที่ฝึกฝนได้/มีคนทำอยู่จริง
    3. Not too demanding: ไม่ใช่สิ่งที่หนักเกินไป/เราแบ่งเวลาให้ได้
    4. All in later: ค่อย ๆ เริ่มทีละเล็กละน้อย และเมื่อเริ่มไปได้ดี ค่อยทุ่มเต็มที่ 100%

    เราจะเริ่มงานเสริมได้ แค่ต้องมี 3 สิ่งนี้:

    1. เครื่องมือ (เช่น แล็ปท็อป)
    2. ทักษะ
    3. แนวทาง (ถ้าเป็นสิ่งที่มีคนเคยทำแล้ว ให้เราเรียนรู้จากคนเหล่านี้)

    Pro tip: สิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่เริ่มต้นใหม่ ๆ คือการบริหารเวลา ในช่วงแรกที่เรายังทำได้ไม่ดี/ไม่คล่อง เวลาส่วนตัวของเราอาจจะถูกรบกวนบ่อยครั้ง เราจะต้องจัดการเวลาให้ดี จนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง เพื่อให้เรายังมีคุณภาพชีวิตที่ดี


    📊 Purpose First, Market Later: The Three Pillars of Lifelong Investing

    Speaker: ศรารัญย์ คาน (Investor & Content Creator, Earthh Evans)

    .

    💸 Investing Not Required, Or Not?

    กรลงทุนเป็นแค่เครื่องมือ และเราไม่จำเป็นต้องลงทุนก็ได้ถ้า:

    • รับมือกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปีได้
    • คิดว่าเราสามารถทำงานไปจนตายได้
    • มีเงินพอใช้หลังเกษียณ
    • คิดว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเกินกว่าที่จะรับได้
    • คิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องยาก
    • ไม่คิดจะมีลูก

    จะเห็นว่า หลาย ๆ ข้อเราอาจจะยอมรับ/จัดการไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า การลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เราอยู่รอดได้

    .

    💖 Put Purpose First

    การตัดสินใจว่าจะลงทุนกับอะไร กับตลาดไหน และเท่าไร ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง:

    1. Goal: ไม่ว่าจะเลือกว่าจะลงทุนในสินทรัพย์อะไร ไม่ว่าจะเป็นตลาดไทยหรือต่างประเทศ ทุกอย่างขึ้นกับเป้าหมายของแต่ละคนว่าต้องการมีเงินไปเพื่ออะไร
    2. Comfort: ความสบายใจต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น:
      1. ภาษีที่มากับการลงทุน
      2. ค่าธรรมเนียม
      3. ความผันผวนของค่าเงิน (เช่น อัตราแลกเปลี่ยน)
      4. ความต่างของเวลาตลาด
      5. ข่าวสารต่าง ๆ
    3. Understanding: ความเข้าใจในการลงทุน เช่น:
      1. ความเข้าใจในธุรกิจ
      2. ตัวขับเคลื่อนมูลค่า
      3. โครงสร้างอุตสาหกรรม
      4. ความเสี่ยงเฉพาะธุรกิจ

    .

    🪙 Compound Interest

    ในการลงทุน เราจะใช้ concept ที่เรียกว่า compound interest หรือดอกเบี้ยทบต้น เพื่อทำเงินให้เรา

    เพื่อจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดจาก compound interest เราจะต้องพิจารณา 3 อย่าง:

    1. Capital: เงินต้นที่มากพอ
    2. Time: เวลาที่มากพอ
    3. Interest: ผลตอบแทนที่มากพอ

    .

    📘 Free Investment Playbooks

    สำหรับคนที่สนใจเริ่ทต้นลงทุน สามารถโหลด playbooks ความรู้ในการลงทุนได้ฟรีบนโพสต์ของ Earthh Evans


    📃 References

  • The Brain Audit Recap: สรุป 3 กลุ่มประเด็น จากงาน The Brain Audit โดย DataRockie ft. Sean D’Souza: วิธีเอาตัวรอดในยุคใหม่ เคล็ดลับ marketing ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และ Q&A

    The Brain Audit Recap: สรุป 3 กลุ่มประเด็น จากงาน The Brain Audit โดย DataRockie ft. Sean D’Souza: วิธีเอาตัวรอดในยุคใหม่ เคล็ดลับ marketing ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และ Q&A

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุปเนื้อหาจาก The Brain Audit ซึ่งเป็น event พิเศษที่พี่ทอย DataRockie จัดขึ้นร่วมกับ Sean D’Souza เจ้าของ one person business “Psychotactics” ซึ่งสอนทักษะทางธุรกิจ เช่น marketing และ copywriting

    Event นี้ประกอบด้วย 3 sessions:

    1. Survive: แนวคิดในการเอาตัวรอดของคนทำงานในยุคนี้ โดย พี่ทอย
    2. Brain Audit: เคล็ดลับการทำ marketing ให้ลูกค้าซื้อ ซึ่งเป็นเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ The Brain Audit โดย Sean
    3. Q&A: session ถามตอบระหว่าง Sean พี่ทอย และผู้เข้าร่วม

    เราไปดูสรุปเนื้อหาในแต่ละ session กัน


    1. ⚔️ Part 1. Survive (P’Toy)
      1. 🎁 1. Productise Yourself
      2. 🦆 2. Be a Generalist
    2. 🧠 Part 2. Brain Audit (Sean D’Souza)
      1. 🧳 1. The Seven Bags Framework
      2. 🔫 2. Trigger
      3. 🎢 3. Keep the Attention
      4. 💬 4. Language
    3. 🤚 Part 3. Q&A (Sean, P’Toy, & the Audience)
    4. 🍩 Bonus
    5. 🤞 Additional Reading
    6. 📖 Expand Your Knowledge

    ⚔️ Part 1. Survive (P’Toy)

    P’Toy (left): ลงบทความทุกสัปดาห์จนพี่ทอยจำชื่อได้ 😆

    ในส่วนนี้ มีเนื้อหา 2 ประเด็นที่น่าสนใจ:

    1. Productise yourself
    2. Be a generalist

    .

    🎁 1. Productise Yourself

    เป้าหมาย คือ การพัฒนาตัวเอง, ไม่ใช่การหาเงิน

    Productise yourself เป็นแนวคิดในการประสบความสำเร็จของ Naval Ravikant ซึ่งหมายถึง การมองและทำตัวเองให้เป็น product ที่โลกต้องการ

    เช่นเดียวกับ product อย่างมือถือและ AI เราจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสังคม

    ถ้าเราอยากจะอยู่รอด เราควรจะยึดสิ่งนี้เป็นเป้าหมายหลักของเรา มากกว่าการหาเงินให้มากขึ้น

    แม้ในตอนแรกจะฟังดูขัดแย้งกัน แต่จริง ๆ แล้วแนวคิดนี้สอดคล้องกับการเอาตัวรอดในยุคของ AI

    ตัวเรา (หรือจริง ๆ แล้ว คือ สมอง หรือ mind ของเรา) เป็น asset ที่มีค่ามากที่สุด ในการทำงานประจำ (หรืองานออฟฟิศ) เรากำลัง “ขาย” ความรู้และความสามารถที่เรามี ให้กับบริษัทหรือคนที่จ้างงานเรา สิ่งที่เราส่งมอบทำให้ลูกค้าของเราเติบโต และเราก็ได้เงินเป็นค่าตอบแทนกลับมา

    การทำงานแบบนี้ไม่ใช่โมเดลที่ยั่งยืน เพราะ:

    1. คนที่จ้างเราจะเลิกจ้างเราเมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะในยุค AI มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ
    2. และที่สำคัญกว่านั้น นอกจากความรู้และความสามารถแล้ว รายได้ของเรายังผูกอยู่กับเวลาที่เราใส่เข้าไป เราจะได้เงินเดือนก็ต่อเมื่อทำงานเต็ม 1 เดือน และถ้าเราหยุดงานในเดือนนั้นไป เราก็จะไม่ได้เงินเดือนมา

    โมเดลรายได้แบบงานประจำ:

    ✅ We + ✅ Time → ✅ Money

    ✅ We + ❌ Time → ❌ Money

    โมเดลทางรอดที่ดีกว่า คือ การใช้สมองของเราสร้าง creative artefact เช่น หนังสือ, โค้ด, วิดีโอ และ asset อื่น ๆ ที่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับโลกและสร้างรายได้ให้เราในระหว่างที่เราหลับ ซึ่งจะช่วยตัดเวลาออกจากสมการรายได้ของเรา:

    We → Creative artefact → Value → Money

    ในโมเดลนี้ ตัวเราเป็นต้นทางของทุกอย่าง ถ้าเราอยากจะได้สร้างรายได้ (money) มากขึ้น เราจะต้องส่งมอบคุณค่า (value) ที่ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงการสร้าง creative artefact ที่ดีขึ้น และตัวเราจะมีความรู้ความสามารถที่มากขึ้น

    เมื่อเรามีความรู้ความสามารถที่มากขึ้นแล้ว creative artefact ก็จะมีคุณภาพมากขึ้น สามารถส่งต่อคุณค่าได้ดีขึ้น และรายได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

    ดังนั้น ถ้าเราอยากจะอยู่รอดในยุคนี้ เราควรจะโฟกัสกับการพัฒนาตัวเอง มากกว่าการหาเงินให้มากขึ้น เพราะเมื่อเราพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น เงินก็จะตามมาเอง

    Better yourself, not money

    .

    🦆 2. Be a Generalist

    หนทาง คือ การเป็น "เป็ด"

    (Note: ในสรุปส่วนนี้ ผมได้ใส่ข้อมูลและความคิดเห็นเพิ่มเติมลงไปด้วย)

    Generalist คือ การทำตัวเองเป็น “เป็ด” หรือสามารถทำได้หลายอย่าง แต่อาจทำได้ไม่สุดสักอย่าง ซึ่งตรงข้ามกับ specialist หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถเฉพาะด้าน

    ก่อนวันงาน The Brain Audit ไม่กี่วัน CK Cheong ซึ่งเป็น CEO ของ Fastwork ออกมาแสดงความเห็นว่า ความต้องการคนที่เป็นเป็ดกำลังลดลง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกคนมี AI ซึ่งเป็นเป็ดที่เก่งทุกด้านอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว

    มุมมองของ CK Cheong ต่อการเป็น generalist (source: TNN Tech)

    ในมุมนี้ CK Cheong อาจมีส่วนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะถ้าเราดูรายละเอียดประกาศรับสมัครงานต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่า บริษัทต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถอยู่ไม่กี่ด้าน

    ยกตัวอย่างเช่น ประกาศงานตำแหน่ง Data Analyst ของ AIS ที่ต้องการคนที่ทักษะดังนี้:

    • ความรู้เลขและสถิติ
    • การเขียนโค้ดอย่าง SQL
    • เครื่องมือ analytics อย่าง Tableau
    • ความรู้เรื่อง big data
    • ความรู้เรื่อง cloud

    จะเห็นได้ว่า ทักษะที่ AIS ต้องการจำกัดวงอยู่แค่ data analyst คนที่มีความสามารถอื่น ๆ เช่น ตัดต่อวิดีโอ เล่นกีต้าร์ หรือวาดรูป อาจไม่ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะไม่ใช่ทักษะที่จะช่วยบริษัทแก้ปัญหาได้ คนเหล่านี้จะยังถูกประเมินตามความสามารถในประกาศงาน และถ้าคนเหล่านี้เป็น “เป็ด” ตามนิยามของ CK Cheong คือ รู้กว้างแต่ไม่รู้ลึก ก็จะสู้คนที่เป็น specialist ที่รู้ลึกรู้จริงไม่ได้ และมีโอกาสได้งานน้อยกว่า specialist

    อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยกับพี่ทอยที่เป็น “pro generalist” ว่า การเป็น generalist ยังเป็นทางรอดสำหรับคนทำงานในยุคนี้

    จริงอยู่ว่า ผู้จ้างงานจะมองหา specialist เวลารับสมัครพนักงาน แต่ในมุมมองคนหางานแล้ว เราควรเป็น generalist ด้วยเหตุผล 3 ข้อ:

    ข้อที่ 1. Generalist มีตัวเลือกมากกว่า specialist

    ถ้าเราเก่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียว หมายความว่า เราจะรับงานได้เฉพาะงานที่ตรงกับทักษะเดียวของเรา

    ในทางกลับกัน ถ้าเราทำเป็นหลายอย่าง แม้อาจจะไม่เก่งสุดในด้านในด้านหนึ่ง แต่เราก็จะมีตัวเลือกให้เราสมัครงานมากขึ้น

    ข้อ 2. Generalist ชนะใน long run

    แม้ว่า generalist มักจะแพ้ specialist ใน domain ของ specialist เอง (เช่น เขียนโค้ดสู้กับ programmer ไม่ได้) แต่ generalist จะชนะในอีกหลาย ๆ ด้าน เพราะแม้จะรู้ไม่สุด แต่ก็มีความรู้เพียงพอที่จะทำงานให้สำเร็จได้ (เช่น ตัดต่อวิดีโอได้ ทำให้สามารถสร้างเปิดช่อง YouTube ของตัวเองได้)

    ข้อที่ 3. Generalist is a niche

    ที่สำคัญที่สุด การเป็น generalist หมายถึง การสร้างแตกต่างให้กับตัวเอง เพราะเราสามารถ “stack” หรือผสมทักษะต่าง ๆ ที่เรามีอยู่หลากหลาย ให้เกิดเป็นผลงานที่ไม่มีใครเหมือน สร้างความแตกต่างให้กับตัวเรา ทำให้เราไม่ต้องแข่งขันกับใคร

    ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่ประสบความสำเร็จจาก skill stacking:

    • Scott Adams ที่ประสบความสำเร็จจากการ์ตูนตลกเสียดสีสังคมเรื่อง Dilbert ซึ่งเกิดการผสมทักษะการวาดรูป + ความรู้ธุรกิจ + อารมณ์ขัน
    • Dan Koe เจ้าของ one-person business ที่ประสบความสำเร็จจากการสร้าง content โดยผสมทักษะการเขียน + ปรัชญา + ความรู้ธุรกิจ
    • พี่ทอย เจ้าของ DataRockie School ที่เป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจและ generalist (ของแทร่ 555+) ซึ่งสร้างความสำเร็จด้วยการผสมทักษะ data + การเขียน + marketing + และอีกมากมาย
    • Sean D’Souza เจ้าของ Psychotactics ธุรกิจที่ทำด้วยตัวเองและประสบความสำเร็จมายาวนานต่อเนื่อง 25 ปี ด้วยการผสมทักษะวาดการ์ตูน + marketing + การเขียน

    ดังนั้น แม้ว่าสังคมอาจมีความต้องการ generalist น้อยลง แต่การเป็น generalist ยังคงเป็นทางเลือกในการอยู่รอดในปัจจุบัน


    🧠 Part 2. Brain Audit (Sean D’Souza)

    Sean D’Souza (right): ขอลายเซ็น Sean 3 ครั้งในวันเดียวจน Sean จำหน้าได้ 😂

    ในส่วนนี้ Sean มาแชร์ความรู้ในการทำ marketing ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ประเด็น ได้แก่:

    1. The Seven Bags Framework
    2. Trigger
    3. Keep the attention
    4. Language

    .

    🧳 1. The Seven Bags Framework

    ลูกค้าจะซื้อก็ต่อเมื่อได้ข้อมูลครบทุกใบ

    เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ายังไม่ตัดสินใจซื้อ คือ ลูกค้ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอในการตัดสินใจ

    ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้ลูกค้าซื้อของ หน้าที่หลักของเรา คือ การให้ข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจกับลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้โดยใช้ The Brain Audit framework ที่มี 7 ส่วน:

    1. Problem
    2. Solution
    3. Target profile
    4. Objection
    5. Testimonials
    6. Risk
    7. Uniqueness

    แต่ละส่วนเปรียบเหมือนกระเป๋าสีแดงบนสายพานในสนามบิน เราจะต้องเอากระเป๋าทั้ง 7 ใบออกมาให้ครบก่อนจะออกจากสนามบินได้ เช่นเดียวกัน เราจะต้องส่งข้อมูล 7 อย่างให้กับลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้

    Seven Red Bags

    ใน session, Sean พูดถึงกระเป๋า 3 ใบแรก ซึ่งเรียกรวมกันว่า trigger (สำหรับใบอื่น ๆ สามารถตามอ่านรายละเอียดกันได้ในหนังสือ The Brain Audit)

    .

    🔫 2. Trigger

    Trigger = Problem + Solution + Target profile

    Trigger คือ สิ่งที่จะกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา เพื่อที่เราจะสามารถส่งสารที่เหลือให้กับลูกค้าได้

    Trigger ประกอบด้วยกระเป๋า 3 ใบแรกในสายพานซึ่งได้แก่:

    1. Problem
    2. Solution
    3. Target profile

    ใบที่ 1. Problem หมายถึง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เช่น:

    • ขับรถเล่นอยู่ดี ๆ แล้วถูกตำรวจเรียกให้จอด
    • เดินเล่นอยู่ดี ๆ แล้วเหยียบ dog poop ที่น้องหมาทิ้งไว้
    • ใส่เสื้อสีขาวตัวใหม่ แต่มีอะไรหยดใส่เป็นรอย

    Problem เป็นภาษาของสมอง และเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักทำพลาด คือ พูดถึงคุณประโยชน์ของ product/service โดยไม่เริ่มจาก problem ซึ่งจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อไม่ได้ เพราะไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง product/service และตัวเอง

    ใบที่ 2. Solution คือ ประโยชน์ที่ product/service เราจะส่งมอบให้เพื่อแก้ปัญหาให้กับลูกค้า

    ใบที่ 3. Target profile คือ profile ของคนคนเดียวใน target audience ของเรา ซึ่งเราจะใช้เป็นต้นแบบในการสร้าง marketing message เพื่อสื่อสารกับลูกค้า

    นั่นคือ แทนที่เราจะเขียน marketing message เพื่อตอบโจทย์คนส่วนมาก เราจะสร้าง message ที่จะส่งถึงคนคนเดียว (target profile) ซึ่งเป็นคนที่มี problem และต้องการ solution ของเรา

    ถ้าเราเจอคนคนนั้นแล้ว ให้เราหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนี้ เช่น ถามถึงปัญหาที่เจอ ทางเลือกที่มี ภาษาที่ใช้ เพื่อที่เราจะสามารถสร้าง marketing message ที่เข้าถึงคนคนนี้ได้ดีที่สุด

    แม้จะฟังดูแปลก แต่การเขียน message เพื่อคนคนเดียวจะช่วยให้เราสร้าง message ได้ง่ายขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะหมายถึงการที่มีคนสนใจ message ของเรามากขึ้น เพราะเราสามารถสื่อสารได้ตรงจุด

    การเขียน marketing message เพื่อให้เป็น trigger จะต้องประกอบด้วยกระเป๋า 3 ใบนี้ เพื่อทำให้ลูกค้าหันมาสนใจเรา

    ยกตัวอย่างเช่น marketing message ของ solution ที่จะช่วยให้คนน้อยหลับได้ง่ายขึ้น:

    Death of a loved one? Fix insomnia in under 5 minutes.

    • Problem: Insomnia
    • Solution: Fix [insomnia]
    • Target profile: [people with] death of a loved one

    ถ้าลูกค้าเห็น trigger ของเรา และถามว่า:

    • How do you do that? หรือ
    • What do you mean by that?

    แสดงว่า trigger ของเราสามารถดึงความสนใจของลูกค้าได้สำเร็จ และเราสามารถที่จะไป step ถัดไปได้

    เคล็ดลับกระเป๋า 3 ใบ:

    • ถ้าลูกค้าบอกว่า “Interesting” นั่นหมายถึง ลูกค้าไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่ถ้าลูกค้าพูดว่า “Tell me more about it” แสดงว่าเราเรียกความสนใจของลูกค้าได้สำเร็จ
    • ในการสร้าง marketing message เราควรจะเริ่มจาก target profile > problem > solution

    .

    🎢 3. Keep the Attention

    Series of problems + solutions -> Rollercoaster

    เมื่อเราได้ความสนใจจากลูกค้าแล้ว เราจะทำให้ลูกค้าสนใจเราต่อไปได้ยังไง?

    Sean เสนอ framework ง่าย ๆ สำหรับปัญหานี้ นั่นคือ ให้เราพูดถึง problem + solution สลับกันไปเรื่อย ๆ:

    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    • 🔴 Problem
    • 🟢 Solution
    Keep the attention: Problem + Solution

    ถ้าเราไม่คอยพูดถึง problem + solution สลับกันไป ลูกค้าของเราก็จะเหมือนกำลังนั่งรถไฟที่วิ่งเอื่อย ๆ ไปบนที่ราบ (และหลับได้ง่าย ๆ)

    ในทางกลับกัน ถ้าเราคอยสื่อสารถึง problem + solution สลับกันไป ลูกค้าก็จะเหมือนกำลังนั่ง rollercoaster และไม่มีทางที่ลูกค้าจะหลับหรือรู้สึกเบื่อเราได้

    Problem + Solution = Rollercoaster

    .

    💬 4. Language

    ลูกค้าจะไม่เข้าใจถ้าเราไม่พูดภาษาลูกค้า

    สุดท้าย ไม่ว่า marketing message จะดีแค่ไหน แต่ลูกค้าเราจะไม่ตอบรับเลยถ้าไม่เข้าใจภาษาของเรา

    Sean ยกตัวอย่างว่า ถ้าเรากำลังยื่นข้อเสนอพักร้อนฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกพันใด ๆ ให้กับลูกค้า ลูกค้ามีโอกาสที่จะไม่ตอบรับได้ ถ้าเรากำลังพูดเป็นภาษาที่ลูกค้าไม่เข้าใจ (เช่น พูดเป็นภาษา Hindi ให้คนไทยฟัง)

    ดังนั้น เราควรใช้ภาษาเดียวกับลูกค้าในการทำ marketing อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ สิ่งที่เราใส่ลงไปใน marketing message ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเช่นกัน

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีรถ 2 คันซึ่งมีทุกอย่างเหมือนกันยกเว้นราคา:

    • คันที่ 1: $35,000
    • คันที่ 2: $18,000
    Which would you buy? $35,000 or $18,000 cars?

    หลายคนก็เลือกที่จะซื้อคันที่ 2 จนกระทั่งคนขายบอกว่าคันที่ 2 เป็นรถที่ถูกขโมยมา ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะหันไปเลือกคันที่ 1 ซึ่งมีราคาแพงกว่าเท่าตัว


    🤚 Part 3. Q&A (Sean, P’Toy, & the Audience)

    Result > information

    ใน session ถามตอบ มี 6 หัวคิดที่น่าสนใจ:

    1. ลูกค้าที่สำคัญที่สุด คือ ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ เราจะต้องทำให้ลูกค้ากลับมาซ้ำโดยการให้ result ไม่ใช่ให้ information เพราะในยุคของ AI ลูกค้าสามารถหา information ได้ง่ายมาก แต่น้อยคนที่จะให้ result กับลูกค้าได้
    2. Talent คือ การทำผิดให้น้อยลง และ learning คือ การสร้างความผิดพลาด (อ้างอิงหนังสือ Suddenly Talented)
    3. ถ้าเราไม่เก่ง AI ก็จะเก่งกว่าเรา แต่ถ้าเราเก่ง AI ก็จะไม่ค่อยมีประโยชน์
    4. การเขียน คือ การคิด (writing is thinking) เราควรจะฝึกเขียนทุกวันเพื่อพัฒนากระบวนการคิดให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
    5. มองหา “good teacher” ไม่ใช่ “fast teacher” เพราะ “good teacher” คือ คนที่จะให้ result กับเราได้
    6. เริ่มต้นจากการโฟกัสไปที่ลูกค้าคนเดียวของเรา ถ้าเราหาลูกค้าคนนี้เจอ เราก็จะหาลูกค้าอีก 1,000 คนได้
    ภาพบรรยากาศงาน The Brain Audit (source: Kasidis Satangmongkol)

    🍩 Bonus

    ในอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ช่วงท้ายงาน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ทอยในระหว่างเซ็นหนังสือ มี 3 ประเด็นที่พี่ทอยแชร์ให้ฟังเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์และการใช้ชีวิต:

    1. ถ้าจะสร้างตัวในโลกออนไลน์ เราควรสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะถ้าเราฝากตัวไว้กับ platform อื่น (เช่น Facebook) online presence เราจะเปลี่ยนไปเมื่อไรก็ได้ เพราะ algorithm ของ platform สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ
    2. เมื่อเราได้ traffic เข้ามาในหน้าเว็บของเราแล้ว เราควรจะ direct traffic ไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งที่นั้นควรเป็น product/service ของเรา (ตั้งแต่วันแรกที่มีเว็บไซต์ Sean ก็มีหนังสือ The Brain Audit ควรรับ traffic อยู่แล้ว)
    3. ไม่มีใครรู้ว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

    🤞 Additional Reading

    อ่านสรุปไอเดียเพิ่มเติมจาก event ได้ที่:


      📖 Expand Your Knowledge

      สำหรับที่คนสนใจติดตามไอเดียเพิ่มเติมจากหนังสือที่พูดถึงในบทความนี้ สามารถซื้อหาหนังสือได้ตาม link ด้านล่าง:

      • The Brain Audit ของ Sean D’Souza: framework กระเป๋า 7 ใบในการทำ marketing ให้ลูกค้าซื้อ
      • The Almanack of Naval Ravikant ของ Eric Jorgenson: รวมข้อคิดเกี่ยวกับ wealth และ happiness ของ Naval Ravikant นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในบริษัทอย่าง Uber, X (Twitter), และ FourSquare
      • Suddenly Talented ของ Sean D’Souza: แนวคิดการทำตัวให้เก่งในระดับที่เข้าถึงได้ (ใครที่อยากวาดรูปวาฬเป็น ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู 🐳)

      Note: