Category: Book summary

  • Building Judgment: สรุป 3 แนวทางในการพัฒนาความคิดให้เฉียบคม จากหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant โดย Eric Jorgenson — Think Clearly, Mental Models, และ Read

    Building Judgment: สรุป 3 แนวทางในการพัฒนาความคิดให้เฉียบคม จากหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant โดย Eric Jorgenson — Think Clearly, Mental Models, และ Read

    The Almanack of Naval Ravikant เป็นหนังสือของ Eric Jorgenson นักเขียนเกี่ยวกับ startups ซึ่งรวบรวมปรัชญาการใช้ชีวิตและความมั่งคั่ง (wealth) ของ Naval Ravikant นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในบริษัทอย่าง Uber, FourSqure, และ Twitter (X) และเป็น CEO ของ AngelList บริษัทที่ช่วยให้ startups ได้พบกับ angel investors เอาไว้

    ในบทความนี้ เราจะสรุปบทเรียน Building Judgment ซึ่งเป็นบทที่ 2 จาก 5 ในหนังสือ

    บทสรุปแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่:

    1. What and why of judgment: นิยามและความสำคัญของ judgment
    2. Think clearly: วิธีคิดให้ทะลุปรุโปร่ง
    3. Mental models: หลักการคิดที่ควรมี
    4. Read: แนวคิดเกี่ยวกับการอ่าน

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    หน้าปกหนังสือ The Alamack of Naval Ravikant บน Amazon

    1. ⚖️ What & Why of Judgment
    2. 😎 Think Clearly
      1. 🌱 Basic Knowledge: Start from the Ground Up
      2. 🥠 Reality: See Past the Identity
      3. 🙂 Additional Tips: Honesty & Criticism
    3. 🧠 Mental Models
    4. 📖 Read
      1. 🔖 What & How to Read
    5. 🌻 Summary
    6. 🔥 Get The Almanack of Naval Ravikant

    ⚖️ What & Why of Judgment

    The direction you’re heading in matters more than how fast you move, especially with leverage.

    — Naval Ravikant

    Judgment ในนิยามของ Naval คือ การประยุกต์ใช้ wisdom กับปัญหาภายนอก

    Wisdom หมายถึง ความสามารถในการมองเห็นผลลัพธ์ในระยะยาวของการกระทำ

    ดังนั้น judgment คือ ความสามารถในการมองเห็นผลลัพธ์ในระยะยาวของการกระทำภายนอก ซึ่งทำให้เราสามารถหาประโยชน์จากการตัดสินใจต่าง ๆ ในชีวิตได้

    Judgment = wisdom(external problems)
    

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว judgment มีความสำคัญ เพราะเทคโนโลยีสามารถขยาย impact ของการตัดสินใจของเราได้หลายเท่าตัว

    ยกตัวอย่าง เรามีไอเดียและโพสต์ไอเดียลง social media เราสามารถเข้าถึงคนที่เราต้องการได้ภายในเวลาอันสั้น และถ้าไอเดียนี้ดี เราก็จะได้ผลตอบรับที่ดีจำนวนมากกลับมา แต่ถ้าเป็นไอเดียไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เราก็จะได้รับแรงต้านมหาศาลเช่นกัน

    ถ้าเรามี judgment ที่ดีกว่าคนอื่นเพียงนิดเดียว เราก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง

    In an age of leverage, one correct decision can win everything.

    — Naval Ravikant

    ทั้งนี้ เรามี 3 วิธีในการพัฒนา judgment ของเรา ได้แก่:

    1. Think clearly
    2. Mental models
    3. Read

    ไปดูรายละเอียดของแต่ละวิธีกัน


    😎 Think Clearly

    “Clear thinker” is a better compliment than “smart.”

    — Naval Ravikant

    Think clearly คือ การคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (reality) และประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่:

    1. ความรู้ขั้นพื้นฐาน
    2. การมองเห็นความเป็นจริง

    .

    🌱 Basic Knowledge: Start from the Ground Up

    Real knowledge is intrinsic, and it’s built from the ground up.

    — Naval Ravikant

    คนที่มี judgment ที่ดีมักมีความรู้ขั้นพื้นฐานที่ดี เพราะเมื่อเรามีความรู้พื้นฐานแล้ว เราสามารถต่อยอดเป็นความรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้นได้

    ในมุมมองของ Naval คนที่ฉลาดมักจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้พื้นฐานอย่างท่องแท้ ยกตัวอย่างเช่น Richard Feynman นักฟิสิกส์ที่ได้ Nobel Prize ในปี 1965 ซึ่งสามารถอธิบายคณิตศาสตร์ได้โดยเริ่มจากการนับเลขและต่อยอดไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงพีชคณิตและตรีโกณมิติ (precalculus) โดยไม่ใช้นิยามใด ๆ แต่ใช้ chain of logic อย่างเดียว

    ถ้าเราสามารถอธิบาย concept ที่ซับซ้อนให้เด็กเข้าใจได้ แสดงว่า เรามีความรู้พื้นฐานที่แท้จริง แต่ถ้าเราทำไม่ได้ แสดงว่าเรากำลังจำ concept โดยไม่ได้เข้าใจความรู้พื้นฐานจริง ๆ

    .

    🥠 Reality: See Past the Identity

    The hard thing is seeing the truth.

    — Naval Ravikant

    คนที่มี judgment ที่ดี คือ คนที่เข้าใกล้ reality ได้มากที่สุด

    การเข้าใกล้ reality ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ขัดขวางไม่ให้เราเห็น reality เช่น:

    • Desires: สิ่งที่เราต้องการให้เป็น
    • Expectations: ความคาดหวัง
    • Beliefs: ความเชื่อ
    • Habits: ความเคยชิน

    Naval เรียกปัจจัยเหล่านี้รวมกันว่า identity หรือ ego ที่ก่อรูปเป็นตัวเราและคอยกำกับการกระทำของเรา

    What we wish to be true clouds our perception of what is true.

    — Naval Ravikant

    ถ้าเราอยากจะเข้าใกล้ reality ให้ได้มากที่สุด เราจะต้องตัดสินใจโดยไม่ใช้ identity/ego เพราะการใช้ identity/ego หมายถึง การใช้ความเชื่อหรือความเคยชินที่มีมาแต่เดิม และอาจไม่ใช่สิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

    ยกตัวอย่างเช่น เราเชื่อว่าธุรกิจกำลังไปได้ดี ทำให้เราตัดสินใจลงทุนเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจกำลังซบเซา ทำให้การตัดสินใจของเราส่งผลเสีย (แทนที่จะเป็นผลดี) ต่อธุรกิจ

    ยิ่งเราเข้าใกล้ reality ได้มากเท่าไร เราก็ยิ่งมี judgment ที่ดีขึ้นเท่านั้น

    .

    🙂 Additional Tips: Honesty & Criticism

    You should never, ever fool anybody, and you are the easiest person to fool.

    — Richard Feynman

    Naval แนะนำอีก 2 เคล็ดลับที่จะช่วยให้เราคิดได้ดีขึ้น ได้แก่:

    1. Radical honesty
    2. Praise specifically, criticise generally

    Radical honesty หมายถึง เราควรซื่อสัตย์ต่อทั้งตัวเองและคนอื่น เพราะคนที่ถูกหลอกง่ายที่สุดคือตัวเอง

    ถ้าเราโกหกคนอื่น เราจะเชื่อคำโกหกของตัวเอง ทำให้เราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ รวมทั้งทำให้เราหลุดจากความเป็นจริง

    Praise specifically, criticise generally เป็นแนวคิดที่ Naval ได้มาจาก Warren Buffet ซึ่งหมายถึง:

    • เวลาที่เราวิพากวิจารณ์ใคร เราควรวิจารณ์แนวทางมากกว่าตัวบุคคล
    • เวลาที่เราชื่นชมใคร ให้เราชมตัวบุคคล

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • ถ้าเราเห็นพนักงานทำงานไม่ดี ให้เราวิจารณ์แนวทางในการทำงานที่พนักงานใช้
    • ถ้าเราเห็นพนักงานทำงานได้ดี เราควรชื่นชมพนักงาน เพราะเป็นตัวอย่างคนทำงานที่ดี

    การทำอย่างนี้จะช่วยทำให้คนอื่นอยากทำงานกับเรา มากกว่าต่อต้านเรา เพราะเราไม่ได้โจมตี identity/ego ของคนอื่น


    🧠 Mental Models

    What you want is principles. You want mental models.

    — Naval Ravikant

    Mental model เป็นเหมือนแผนที่ที่บอกว่า สิ่งต่าง ๆ ทำงานยังไง เช่น ถ้า X เกิดขึ้น Y จะตามมา

    ถ้าเราอยากจะมี judgment ที่ดี เราควรมี mental models ที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ถูกต้องและแม่นยำ

    Naval แนะนำ 12 mental models ที่น่าสนใจ:

    1. Evolution: ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอารยธรรมสามารถอธิบายได้ด้วยหลัก evolution ที่ว่า ใครจะอยู่รอดและได้สืบพันธุ์ต่อไป
    2. Inversion: แนวคิดในการตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ แทนการมองหาตัวเลือกที่ใช่
    3. Complexity theory: Naval เชื่อว่า คนเราใสซื่อจนเกินไปและมีความสามารถในการทำนายอนาคตที่แย่มาก
    4. Economics: ความรู้เชิงเศรษฐศาสตร์ต่าง ๆ เช่น demand-supply, game theory
    5. Principal-agent problem: แนวคิดที่ว่า ความไม่สอดคล้องอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเรา (principal) ให้คนอื่น (agent) ทำงานให้กับเรา เพราะ agent ไม่สามารถรู้ความต้องการของ principal ได้ตลอดเวลา เช่น เราฝากเพื่อนซื้อข้าว เพื่อนอาจซื้อข้าวผัดมาให้เพราะเห็นเรากินข้าวผัดในอดีต แต่วันนี้ เราอยากกินก๋วยเตี๋ยว ทำให้ข้าวที่ซื้อมาไม่ตรงโจทย์
    6. Compound interest: แนวคิดที่ว่า ดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ใช้ได้กับการเงินเท่านั้น แต่ยังใช้ได้กับด้านอื่น ๆ ของชีวิต เช่น การหาลูกค้า ถ้าบริษัทมีผู้ใช้ 100 คนในเดือนแรก และมียอดการเติบโตของผู้ใช้ 20% ต่อเดือน ภายใน 1 ปี บริษัทจะมีผู้ใช้งานถึงเกือบ 900 คนใน
    7. Basic math: ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เช่น การคิดบวกลบเลข ความน่าจะเป็น และสถิติ
    8. Black swans: แนวคิดของ Nassim Nicholas Taleb นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญา ซึ่งหมายถึง เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่มีผลกระทบในวงกว้าง Naval แนะนำให้ศึกษางานของ Nassim ถ้าต้องการศึกษาเพิ่มเติม
    9. Calculus: การคำนวณ output โดยใช้ input และ functions
    10. Falsifiability: falsifiable หมายถึง สามารถพิสูจน์ว่าเป็น/ไม่เป็นจริงได้ และแนวคิดเป็นแก่นหลักของวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีใดที่ไม่สามารถ falsify ได้เป็นทฤษฎีที่ไม่ควรยึดถือ เพราะเราพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นจริง/ไม่เป็นจริง
    11. If you can’t decide, then the answer is no: ถ้าเราตัดสินใจไม่ได้ (เช่น จะไปเรียนต่อไหม) คำตอบคือไม่ เพราะในปัจจุบัน เรามีตัวเลือกมากมาย และเราควร say “yes” ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจในตัวเลือกจริง ๆ แล้วเท่านั้น
    12. Run uphill: ถ้าเรารู้สึก 50-50 กับการตัดสินใจยาก ๆ ให้เราเลือกทางที่ยากกว่า เพราะทางที่ยากในระยะสั้นมักให้ผลดีในระยะยาว เหมือนกับการวิ่ง เราจะเหนื่อยในระหว่างวิ่ง แต่สุดท้ายเราจะมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

    📖 Read

    Read a lot—just read.

    — Naval Ravikant

    แนวทางสุดท้ายในการพัฒนา judgment คือ การอ่าน

    การอ่านคือ superpower ซึ่งเราสามารถพัฒนาได้

    สำหรับคนที่ต้องการฝึกทักษะการอ่าน Naval แนะนำให้เริ่มจากการอ่านสิ่งที่ชอบจนกว่าเราจะรักในการอ่าน

    Read what you love until you love to read.

    — Naval Ravikant

    ในช่วงแรก เราไม่ต้องสนใจว่า หนังสือที่เราอ่านเกี่ยวกับเรื่องอะไร ขอให้เป็นสิ่งที่เราชอบก็พอ และอ่านให้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

    .

    🔖 What & How to Read

    The problem with saying “just read” is there is so much junk out there.

    — Naval Ravikant

    Naval มีเทคนิคในการอ่านเพื่อสร้างความรู้ 5 ข้อ ได้แก่:

    1. Basic knowledge: อ่านหนังสือที่มีความรู้พื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และปรัชญา
    2. Classic work: อ่านหนังสือต้นฉบับหรือหนังสือ classic เช่น ถ้าเราต้องการอ่านเกี่ยวกับ evolution เราควรอ่านงานของ Charles Darwin ก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือของคนอื่นที่เขียนต่อยอดจาก Charles Darwin เป็นต้น
    3. No obligation to finish a book: เราอ่านเพื่อทำความเข้าใจไอเดียพื้นฐานของหนังสือ เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือให้จบทั้งเล่ม ถ้าเรารู้สึกว่าเข้าใจไอเดียพื้นฐานในหนังสือแล้ว เราสามารถข้ามไปเล่มถัดไปได้ และกลับมาดูหนังสือเล่มเก่าอีกครั้งเมื่อต้องการทบทวนความรู้
    4. You are what you read: เลือกหนังสือที่อ่านให้ดี เพราะหนังสือจะเหมือนเนื้อเพลงที่เล่นวนอยู่ในหัวเรา เราจะกลายเป็นสิ่งที่เราอ่าน
    5. Read to teach: อ่านโดยมีความตั้งใจว่าจะอธิบายให้คนอื่นฟัง การทำเช่นนี้จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านมากขึ้น

    🌻 Summary

    Judgment เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะผลของการตัดสินใจเราสามารถถูกขยายด้วยเทคโนโลยีและส่งผลเป็นวงกว้างได้

    แนวทางในการพัฒนา judgment มีอยู่ 3 แนวทาง ได้แก่:

    1. Think clearly: คิดโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยเราต้องมี (1) ความรู้พื้นฐาน และ (2) การตัดสินใจโดยไม่ใช้ identity/ego
    2. Mental models: สะสมแนวคิดในการตัดสินใจ เช่น evolution, inversion, complexity theory
    3. Read: อ่านให้เยอะเพื่อสะสมความรู้พื้นฐานและหลีกเลี่ยงหนังสือที่ไม่ดี

    🔥 Get The Almanack of Naval Ravikant

    สำหรับคนที่สนใจเนื้อหาของหนังสือและอยากอ่านเพิ่มเติม สามารถซื้อหนังสือได้ตาม link ด้านล่าง:

    Note: ใครที่สนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษแบบ e-book หรือ PDF สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่ navalmanack.com

  • Building Wealth: สรุป 5 กลุ่มแนวคิดในการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth) อย่างยั่งยืน จากหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant โดย Eric Jorgenson — What Is Wealth, How to Build Wealth, What to Build Wealth With, Why Seek Wealth, และข้อคิดอื่น ๆ

    Building Wealth: สรุป 5 กลุ่มแนวคิดในการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth) อย่างยั่งยืน จากหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant โดย Eric Jorgenson — What Is Wealth, How to Build Wealth, What to Build Wealth With, Why Seek Wealth, และข้อคิดอื่น ๆ

    Naval Ravikant เป็นนักลงทุนชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในบริษัทอย่าง Uber, FourSquare, และ Twitter (X) และเป็น CEO ของ AngelList บริษัทที่เชื่อม startup กับ angel investor

    หนังสือ The Almanack of Naval Ravikant โดย Eric Jorgenson รวบรวมข้อคิดเกี่ยวกับความมั่งคั่ง (wealth) และความสุข (happiness) ผ่านการสัมภาษณ์และ tweet ของ Naval

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุปเนื้อหา Building Wealth ซึ่งเป็นบทแรกจาก 5 บทในหนังสือ และพูดถึงเรื่องการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

    บทความนี้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่:

    1. Intro to wealth
    2. How to build wealth right
    3. What to build wealth with
    4. Why seek wealth?
    5. Additional tips on life of wealth

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    หน้าปกหนังสือ The Alamack of Naval Ravikant บน Amazon

    1. 🏦 1. Intro to Wealth
    2. 😎 2. How to Build Wealth Right
      1. 🎁 2.1 Productise Yourself
      2. 🧠 2.2 Earn With Mind, Not Time
      3. 🎲 2.3 Luck
    3. 🏗️ 3. What to Build Wealth With
      1. ⚡ 3.1 Specific Knowledge
      2. 🧰 3.2 Leverage
      3. 🫡 3.3 Accountability
      4. 🏪 3.4 Equity
      5. 🪙 3.5 Compound Interest
    4. 🕊️ 4. Why Seek Wealth?
    5. 💡 5. Additional Tips on Life of Wealth
      1. ⌚ 5.1 Value Your Time
      2. 🚨 5.2 Avoid Ruin
      3. 🏆 5.3 Early Success
    6. 💰 Summary
    7. 🔥 Get The Almanack of Naval Ravikant

    🏦 1. Intro to Wealth

    Seek wealth, not money or status.

    — Naval Ravikant

    เราควรมองหา wealth ไม่ใช่ money หรือ status

    • Wealth = asset ที่สร้างรายได้ให้เราในขณะที่กำลังหลับ
    • Money = สื่อที่เราใช้เคลื่อนย้าย wealth
    • Status = สถานะทางสังคมที่บอกว่า เราอยู่สูงหรือต่ำขนาดไหน

    Why not money?

    Money สร้างความสุขให้เราไม่ได้ สิ่งเดียวที่ money แก้ได้ คือ ช่วยจัดการอุปสรรคที่ขัดขวางเส้นทางสู่ความสุขของเรา

    Money ทำให้เรามีกินมีใช้และสามารถใช้จ่ายในสิ่งที่เราต้องการได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช่ความสุขที่เราตามหา

    Why not status?

    การต่อสู้เพื่อ status (อย่างการเล่นการเมือง) เป็น zero-sum game นั่นคือ ต้องมีฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะ (-1, +1) ทำให้ในภาพรวม ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

    ความสัมพันธ์ที่ดีควรเป็น win-win ที่ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว

    Why wealth?

    Wealth สามารถสร้างรายได้ให้เราได้ในระยะยาว เพราะ wealth สามารถทำรายได้ให้กับเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลับ

    เราควรมองหา wealth เช่น โรงงาน ธุรกิจ หนังสือ โค้ด มากกว่า money และ status


    😎 2. How to Build Wealth Right

    แนวทางการสร้าง wealth อย่างยั่งยืนมีอยู่ 3 ข้อ ได้แก่:

    1. Productise yourself
    2. Earn with mind, not time
    3. Luck

    .

    🎁 2.1 Productise Yourself

    Productize Yourself

    — Naval Ravikant

    Productise yourself หมายถึง การพัฒนาตัวให้เป็น product ที่เป็นที่ต้องการของสังคม

    เราจะ productise ตัวเองได้สำเร็จเมื่อเราสามารถสร้างสิ่งที่:

    1. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (unique/authentic)
    2. เป็นสิ่งที่สังคมต้องการ แต่ไม่รู้จะหามาได้ยังไง (เพราะถ้าหาได้ สังคมจะไม่ต้องการเรา)

    เมื่อเราสามารถทำ 2 อย่างนี้ได้ สังคมก็จะตอบแทนเรา (ด้วยเงิน)

    .

    🧠 2.2 Earn With Mind, Not Time

    Earn with your mind, not your time.

    — Naval Ravikant

    เราควรหารายได้ด้วยความคิด (mind) ไม่ใช่เวลา (time)

    เวลาเป็น resource ที่มีอยู่อย่างจำกัดและไม่สามารถหาเพิ่มได้ ถ้าเราผูกติดรายได้กับเวลา เราจะไม่มีทางมีอิสระทางการเงิน

    การผูกรายได้กับเวลา หมายถึง เราจะต้องใช้เวลาแลกกับรายได้ และเราจะไม่มีรายได้ถ้าเราไม่มีเวลา

    เช่น เราจะได้เงินเดือนก็ต่อเมื่อเราทำงานครบ 1 เดือน และถ้าเดือนนั้นเราขาดงาน รายได้ของเราก็จะหายไป 1 เดือน

    Time -> Money
    Time -> Money

    หนทางในการสร้างความมั่นคง คือ เราจะต้องแยกรายได้ออกจากเวลา และหารายได้จากความคิด ไม่ใช่เวลา

    Time Mind -> Money

    ในขณะที่เวลามีอยู่อย่างจำกัด ความคิดของเราไม่มีที่สิ้นสุด และเราสามารถพัฒนาความคิดของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ซึ่งทำให้เราสามารถหารายได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้

    เมื่อเราหารายได้ด้วยความคิด ไม่ใช่เวลา รายได้ของเราจะไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป

    Earn with your mind, not your time (source: The Almanack of Naval Ravikant)

    .

    🎲 2.3 Luck

    You put yourself in a position to capitalize on luck or to attract luck when nobody else created the opportunity for themselves.

    — Naval Ravikant

    Luck เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ และถ้าเราอยากสร้าง wealth อย่างมั่นคง เราควรตัด luck ออกจากสมการของเรา

    Naval มองว่า luck มีอยู่ 4 ประเภท:

    1. Blind luck: luck ที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ เช่น ถูกหวย
    2. Luck from persistence: luck ที่เกิดจากความเพียร าจะพบ luck ประเภทนี้ได้เมื่อเราทำงานหนักหรือใส่ความพยายามไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน
    3. Luck from spotting: luck ที่เกิดจากการที่เราพัฒนาทักษะในการสังเกตเห็นโอกาสต่าง ๆ ในชีวิต ทำให้เราพบเจอ luck ได้มากกว่าคนอื่น
    4. Luck that finds you: luck ที่เข้ามาหาเราเองเพราะเราพัฒนาตัวเองให้เป็นที่ต้องการของสังคม (productise yourself)

    Luck ประเภทสุดท้ายเป็น luck ที่คาดเดาได้มากที่สุด เพราะเป็น luck ที่เกิดจากตัวเองเรา

    ถ้าเราอยากสร้าง wealth เราควรตัด luck ออกจากสมการโดยการพัฒนาตัวเองจน luck วิ่งเข้ามาหาเราเอง


    🏗️ 3. What to Build Wealth With

    สิ่งที่เราควรมีเพื่อสร้าง wealth อย่างยั่งยืนมีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่:

    1. Specific knowledge
    2. Leverage
    3. Accountability
    4. Equity
    5. Compound interest

    .

    ⚡ 3.1 Specific Knowledge

    No one can compete with you on being you.

    — Naval Ravikant

    Specific knowledge คือ ความรู้/ความสามารถเฉพาะตัว

    Specific knowledge เป็นสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น และทำให้เราสามารถสร้างสิ่งที่สังคมต้องการแต่ยังไม่รู้ว่าจะหามาได้ยังไง เพราะสิ่งนั้นมีแต่เราที่รู้/ทำได้

    Specific knowledge เกิดมาจาก 3 ส่วน ได้แก่:

    1. Innate trait: ลักษณะที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
    2. Passion: ความชอบ/ความหลงใหล
    3. Experience: ประสบการณ์ชีวิต

    What’s your specific knowledge?

    แต่ละคนมี specific knowledge ที่ไม่เหมือนใคร เราสามารถสังเกต specific knowledge ของเราได้โดยมองหาสิ่งที่:

    • เราทำสำเร็จได้ง่าย ๆ โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม
    • ดูเหมือนไม่ใช่ทักษะ แต่คนอื่นมองว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว
    • เรามองว่าเป็นงานอดิเรก เป็นการพักผ่อน แต่คนอื่นมองว่าเป็นงาน

    ยกตัวอย่าง เช่น:

    • ทักษะการขาย
    • ชอบเล่นเกม
    • ชอบอ่านหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์
    • ทักษะนักสืบชีวิตที่ทำให้เรารู้เรื่องราวของคนรอบข้างได้หมด แม้จะไม่เคยมีใครบอกอะไรกับเราเลย

    How to develop your specific knowledge?

    เราสามารถพัฒนา specific knowledge ได้โดยทำตาม passion มากกว่าการทำตาม trend

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราชอบเล่นดนตรี เราควรฝึกเล่นดนตรี แทนที่จะเรียน machine learning ในยุคของ AI (เว้นว่า เราจะชอบ machine learning จริง ๆ)

    การทำตาม passion จะทำให้เราพัฒนา specific knowledge ได้ยั่งยืนกว่า เพราะในขณะที่คนอื่นล้มเลิกความพยายามไปตาม trend เราจะยังคงทำในสิ่งที่เรารักอยู่ ทำให้เราสั่งสมประสบการณ์การและความรู้ได้มากกว่าคนอื่น ๆ

    .

    🧰 3.2 Leverage

    Give me a lever long enough and a place to stand, and I will move the earth.

    — Archimedes

    Leverage คือ สิ่งที่จะขยาย impact ของเรา

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสัดส่วนระหว่างความพยายามและผลลัพธ์อยู่ที่ 1:1, leverage สามารถทำให้สัดส่วนนี้กลายเป็น 1:2, 1:5, 1:10, 1:1,000, 1:10,000 ได้

    Leverage มีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่:

    1. Labour
    2. Capital
    3. Product with no marginal cost of replication

    Labour หรือแรงงานเป็น leverage ที่เก่าแก่ที่สุด แต่ใช้งานยาก เพราะเราต้องมี leadership skill ที่ดี

    Capital หรือเงินทุน เป็น leverage ที่ scale ได้ดี แต่จัดการได้ยาก แต่ใครที่ทำได้จะได้แต้มต่อจากคนอื่นมาก

    Leverage ประเภทสุดท้าย คือ product with no marginal cost of replication

    ในขณะที่ labour และ capital เป็น permission-based leverage เพราะเราจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากคนอื่น product with no marginal cost of replication เป็น permissionless leverage เพราะเราสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องขอความยิมยอมจากใคร

    Product with no marginal cost of replication คือ สิ่งที่เราสามารถสร้างเพิ่มได้โดยใช้ต้นทุนแทบเป็น 0 เช่น:

    • หนังสือ
    • เพลง
    • โค้ด
    • YouTube video

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทุกคนสามารถเข้าถึง product with no marginal cost of replication ทุกคนสามารถสร้าง video และ copy ไปโพสต์ตาม platform ต่าง ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสักบาท และทำให้ตัวเองให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกได้ในชั่วข้ามคืนได้

    ถ้าอยากจะสร้างความมั่งคั่ง เราควรจะมี leverage ซึ่ง leverage ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ product with no marginal cost of replication

    .

    🫡 3.3 Accountability

    Clear accountability is important. Without accountability, you don’t have incentives.

    — Naval Ravikant

    Accountability หมายถึง ความรับผิดชอบในงานที่ทำ

    Accountability เป็นสิ่งที่มีความเสี่ยง เพราะถ้าสิ่งที่เราทำสำเร็จ เราก็สามารถรับความดีความชอบได้ ในทางกลับกัน ถ้าสิ่งที่เราทำล้มเหลว เราก็ต้องรับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

    แม้จะมีความเสี่ยง แต่เราควรมี accountability ถ้าเราอยากสร้าง wealth เพราะเมื่อเรามี accountability เราก็จะมี credibility ซึ่งทำให้เราสามารถหา leverage อย่าง labour และ capital ได้ขึ้น

    นอกจากนี้ Naval มองว่า accountability ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะคนส่วนใหญ่จะให้อภัยเราถ้าเราทำผิดพลาด แต่แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจพร้อมความพยายามที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น

    ถ้าเราต้องการสร้าง wealth เราควรมี accountability ในสิ่งที่เราทำ

    .

    🏪 3.4 Equity

    You must own equity—a piece of a business—to gain your financial freedom.

    — Naval Ravikant

    นอกจาก specific knowledge, leverage, และ accountability แล้ว ถ้าเราต้องการจะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจะควรมี equity ด้วย

    Equity เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ (ownership) ใน asset ที่สามารถสร้างรายได้ได้ เช่น:

    • product ต่าง ๆ
    • สินทรัพย์ทางปัญญา
    • ธุรกิจ

    ถ้าเราไม่มี ownership, ความพยายามและผลลัพธ์ที่เราได้จะอยู่ในสัดส่วนที่ 1:1 แต่ถ้ามี equity แล้ว เราจะสามารถเปลี่ยนสัดส่วนให้มากขึ้นได้

    ยกตัวอย่างเช่น คุณหมอที่ทำงานโรงพยาบาล แม้จะได้รับค่าตอบแทนสูง แต่รายได้ของคุณหมอขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ไปกับการทำงาน และถ้าคุณหมอหยุดงาน หมอก็จะไม่มีรายได้เข้ามา

    ในทางกลับกัน ถ้าคุณหมอเปิดคลิกนิกเป็นของตัวเอง คุณหมอสามารถมีรายได้เท่าเดิมหรือมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง เพราะคลินิกที่มีทั้งบุคลากร เงินทุน และ software (leverage ทั้ง 3 ประเภท) จะสร้างรายได้ให้กับคุณหมอ แม้ในขณะที่คุณหมอกำลังหลับ

    .

    🪙 3.5 Compound Interest

    The combination of those over a long period of time with the magic of compound interest will make you wealthy.

    — Naval Ravikant

    สุดท้าย สิ่งที่เราต้องการเพื่อสร้างความมั่งคั่ง คือ เวลา

    ความสำเร็จไม่ได้ถูกสร้างชั่วข้ามคืน แม้แต่ Naval เองที่ประสบความสำเร็จทั้งทางทรัพย์สินเงินทองและสังคม ก็ใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้างขึ้นมา

    เวลาอยู่ข้างเรา ถ้าเราโฟกัสได้ถูกจุด

    99% vs 1%

    99% ของสิ่งที่เราทำเป็นความพยายามที่เสียเปล่า

    ยกตัวอย่างเช่น เราใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตไปกับการเรียน การอ่านหนังสือ การสอบที่ทำให้เราได้ความรู้ที่สุดท้ายเราไม่ได้นำมาใช้จริง

    มีเพียง 1% ของความพยายามทั้งหมดของเราที่จะให้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ

    เราจะต้องใช้ความพยายาม 99% เพื่อหา 1% นี้ให้เจอ และเมื่อเจอแล้วให้เราทุ่มสุดตัวไปกับ 1% ที่ว่า เพราะ 1% นี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในชีวิตของเรา

    เมื่อเราลงทุนไปกับสิ่งที่ใช่แล้ว เราเพียงแต่ต้องอดทนและปล่อยให้เวลาทำงาน

    Compound interest in life

    Compound interest เป็นแนวคิดทางการเงินที่ไม่ได้ใช้ได้กับการเงิน แต่ใช้กับด้านอื่น ๆ ของชีวิตอีกด้วย

    Compound interest คือ การที่เราได้ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะในแต่ละปี เงินต้นของเราจะเท่ากับเงินต้น + ดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยในแต่ละปีจะคิดต่อยอดจากดอกเบี้ยปีก่อน ๆ ด้วย

    Compound interest สามารถปรับใช้กับด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ เช่น ความสัมพันธ์

    การที่เราจะไว้ใจสักคนไม่ได้เกิดจากความประทับใจครั้งแรก แต่เกิดการสั่งสมของการแลกเปลี่ยนความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเรายิ่งใช้เวลากับใครได้นาน เราก็จะยิ่งไว้ใจคนคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

    การสร้าง wealth ก็เช่นกัน เมื่อเราลงทุนได้ถูกจุดแล้ว เราก็พร้อมให้ wealth สั่งสมตัวเอง และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็จะมี wealth อย่างที่เราต้องการ


    🕊️ 4. Why Seek Wealth?

    When you’re finally wealthy, you’ll realize it wasn’t what you were seeking in the first place.

    — Naval Ravikant

    ถึงตอนนี้ เราได้เห็นแนวคิดและวิธีการสร้าง wealth แล้ว แต่เรายังไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องการ wealth?

    แต่ละคนอาจมีเป้าหมายในการมองหา wealth ไม่เหมือนกัน แต่ Naval เชื่อว่า เราตามหา wealth เพื่อ freedom

    Freedom ในมุมมองของ Naval คือ อิสระในทุก ๆ ด้าน เช่น:

    • อิสระในการเลือก: สามารถเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
    • อิสระในทางการเงิน: สามารถใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการได้
    • อิสระทางอารมณ์: ไม่ต้องมีความรู้สึกที่ทำลายความสงบทางจิตใจ

    Freedom เป็นเป้าหมายปลายทาง และ wealth เป็นเพียงทางที่จะนำเราไปสู่ freedom

    ตราบใดที่ wealth ยังสร้าง freedom ให้เรา wealth คือทางออก

    แต่เมื่อไรที่ wealth ขัดขวาง freedom ของเรา wealth คือปัญหา


    💡 5. Additional Tips on Life of Wealth

    3 คำแนะนำเพิ่มเติมจาก Naval เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่ง:

    1. Value your time
    2. Avoid ruin
    3. Early success

    .

    ⌚ 5.1 Value Your Time

    Value your time at an hourly rate, and ruthlessly spend to save time at that rate.

    — Naval Ravikant

    เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของเรา และเราควรจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

    เทคนิคหนึ่งในการจัดการเวลา คือ กำหนด hourly rate

    Hourly rate คือ ราคาค่าตัวต่อชั่วโมงของเรา เราควรตั้ง hourly rate ให้สูงจนน่าตกใจเพื่อที่:

    1. เราจะมีแรงผลักที่จะมุ่งไปข้างหน้า
    2. เราจะรู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่า

    ยกตัวอย่างเช่น เราตั้ง hourly rate ไว้ที่ 5,000 บาท และถ้าเรากำลังจะใช้เวลา 1 ชั่วโมงไปกับการดู Netflix แสดงว่า เรากำลังจะเสียเงิน 5,000 บาทไปฟรี ๆ เพราะในเวลา 1 ชั่วโมง เราสามารถทำกิจกรรมอื่นที่อาจสร้างรายได้ 5,000 บาทได้

    การตั้ง hourly rate จะช่วยให้เราคำนึงถึงเวลาในการตัดสินใจต่าง ๆ ของเรา และทำให้เราใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด

    .

    🚨 5.2 Avoid Ruin

    The one thing you have to avoid is the risk of ruin.

    — Naval Ravikant

    เราควรหลีกเลี่ยง ruin หรือสิ่งที่จะทำลายชีวิตของเรา เช่น:

    1. Jail: ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่มีอะไรที่คุ้มค่าพอจะให้เราเข้าไปนอนในคุก
    2. Catastrophic loss: หลีกเลี่ยงการสูญเสียแบบหมดตัว เช่น การเล่นพนัน
    3. Physical danger: อันตรายต่อร่างกายและสุขภาพ

    .

    🏆 5.3 Early Success

    Some of the most successful people I’ve seen in Silicon Valley had breakouts very early in their career.

    — Naval Ravikant

    ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในชีวิต เราควรจะหาความสำเร็จตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้านานไป เราจะเริ่มหาความสำเร็จได้ยากขึ้น

    สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิต Naval แนะนำให้ตัดสินใจ 3 อย่างนี้ให้ดี:

    1. Where: เราจะใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน สถานที่ที่เราอยู่จะส่งผลต่อแนวทางและเส้นทางชีวิตของเรา
    2. Who: เราจะใช้เวลาไปกับใคร หรือใครที่เราจะมีความสัมพันธ์ด้วย
    3. What: เราจะทำอะไร เช่น จะทำงานอะไร

    เราควรคิดถึง 3 เรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนและใน timeframe ระยะยาว เช่น:

    1. Where: จะใช้ชีวิตในเมืองไหน 10 ปี?
    2. Who: จะคบกับใครไปทั้งชีวิต?
    3. What: จะทำงานเดิมกี่ปี 3 ปี? 5 ปี?

    เราควรวางแผนทั้ง 3 สิ่งนี้ให้ดี เพราะการตัดสินใจนี้จะกำหนดเส้นทางชีวิตที่เหลือของเรา


    💰 Summary

    ในบทความนี้ เราสรุปแนวคิดในการสร้าง wealth ในหนังสือ The Almanack of Naval Ravikant

    Intro to wealth: wealth คืออะไร?

    1. Seek wealth, not money or status: ตามมา wealth ไม่ใช่ money หรือ status. Wealth คือ asset ที่สร้างรายได้ให้เราในขณะที่เราหลับ ในขณะที่ money คือ สื่อในการเคลื่อนย้าย wealth และ status คือ สถานะทางสังคมของเรา

    How to build wealth right: แนวทางในการสร้าง wealth อย่างยั่งยืน

    1. Productise yourself: สร้างสิ่งที่สังคมต้องการ แต่ยังไม่รู้ว่าจะหามาได้ยังไง
    2. Earn with mind, not time: สร้างรายได้ผ่านความคิด ไม่ใช่เวลา
    3. Luck: ตัด luck ออกจากสมการสร้าง wealth ด้วยการพัฒนาตัวเองจน luck เข้ามาหาเอง

    What to build wealth with: สิ่งที่เราควรมีเพื่อสร้าง wealth อย่างยั่งยืน

    1. Specific knowledge: ความรู้/ความสามารถเฉพาะตัว
    2. Leverage: สิ่งที่จะขยาย impact ของสิ่งที่เราทำ
    3. Accountability: ความรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ
    4. Equity: ownership ใน asset ที่ช่วยสร้างรายได้ในขณะที่เราหลับ
    5. Compound interest: เวลา

    Why seek wealth?

    1. Freedom: เราตามหา wealth เพื่อ freedom ในชีวิต

    Additional tips: ข้อคิดเพิ่มเติมในการสร้าง wealth

    1. Value your time: กำหนด hourly rate เพื่อรู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่า
    2. Avoid ruin: หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำลายชีวิต เช่น jail, catastrophe loss, และ physical danger
    3. Early success: เริ่มตามหาความสำเร็จแต่เนิ่น ๆ และตัดสินใจในเรื่องที่อยู่ ความสัมพันธ์ และสิ่งที่เราจะทำให้ดี

    🔥 Get The Almanack of Naval Ravikant

    สำหรับคนที่สนใจเนื้อหาของหนังสือและอยากอ่านเพิ่มเติม สามารถซื้อหนังสือได้ตาม link ด้านล่าง:

    Note: ใครที่สนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษแบบ e-book หรือ PDF สามารถดาวน์โหลดฟรีได้ที่ navalmanack.com

  • สรุปวิธีสร้างงานเขียนจาก 0 สำหรับนักออกแบบและผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียน จากหนังสือ Writing Is Not Magic, It’s Design โดย João Batalheiro Ferreira

    สรุปวิธีสร้างงานเขียนจาก 0 สำหรับนักออกแบบและผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียน จากหนังสือ Writing Is Not Magic, It’s Design โดย João Batalheiro Ferreira

    Writing Is Not Magic, It’s Design เป็นหนังสือของ João Batalheiro Ferreira ซึ่งแนะนำแนวคิดการเขียนสำหรับนักออกแบบ (designer) ซึ่งมัก “คิดเป็นภาพ” ได้ดีกว่า “คิดเป็นตัวหนังสือ”

    แม้ว่า Writing Is Not Magic, It’s Design จะถูกเขียนมาให้นักออกแบบ แต่แนวคิดในหนังสือสามารถปรับใช้ได้กับทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียนของตัวเอง โดยเฉพาะการเขียน non-fiction อย่างเขียน blog และบทความ

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุปเนื้อหาของ Writing Is Not Magic, It’s Design ใน 2 ส่วน กัน:

    1. Writing Is …: การเขียนคืออะไร?
    2. Writing Method: กรอบแนวคิดในการออกแบบงานเขียนอย่างมีประสิทธิภาพ

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. ✍️ Part I. Writing Is …
    2. 🖋️ Part II. Writing Method
      1. ⚛️ 1. Modular Writing
      2. 🪄 2. Writing Stages
        1. 🗒️ N for Note
        2. 🗺️ O for Organise
        3. ✒️ D for Draft
        4. 🔎 E for Edit
      3. 💪 Writing Method = Modular Writing + Writing Stages
    3. 🤩 Deep Noting Notion Template


    ✍️ Part I. Writing Is …

    การเขียนในมุมมองของ João สรุปได้เป็น 4 ข้อ ได้แก่:

    1. … Skill: การเขียนเป็นทักษะ นั่นคือ ทุกคนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ การเขียนได้ดีไม่จำเป็นต้องใช้พรสรรค์ แต่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกฝนอย่างมีหลักการ
    2. … Communication problem: จุดประสงค์หลักของการเขียน คือ การสื่อสารไอเดียของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน ปัญหาหลักของงานเขียนที่ขาดประสิทธิภาพเกิดจากการที่ผู้เขียนไม่สามารถสื่อสารไอเดียอย่างที่เป็นไปถึงผู้อ่านได้ ถ้าเราอยากจะสร้างงานเขียนที่มีคุณภาพ เราต้องจะแก้ปัญหาการสื่อสารให้ได้
    3. … Creative process: งานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ (creative) ดังนั้น เช่นเดียวกับงานสร้างสรรค์อื่น ๆ ในการสร้างงานเขียน เราจะต้องทำตาม creative process และเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนใน process เราจะได้ทำความรู้จักกับ process นี้ในส่วนที่สอง
    4. … Thinking: สุดท้าย การเขียนคือการคิด การที่เราจะเขียนได้ดี เราจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน และการที่เราจะคิดได้ เราจะต้องเขียนออกมา การเขียนไม่ใช่แค่การสื่อของความคิด แต่ยังเป็นเครื่องมือช่วยคิดที่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับการคิด เราจะเขียนได้ก็ต้องคิด และถ้าจะคิดได้ก็ต้องเขียน ทำให้เราไม่รู้ว่าอะไรมาก่อนกัน

    🖋️ Part II. Writing Method

    Writing method = Modular writing + Writing stages

    Writing method หรือวิธีการออกแบบงานเขียนประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่:

    1. Modular writing
    2. Writing stages

    .

    ⚛️ 1. Modular Writing

    Module คือ หน่วยย่อยซึ่งสามารถนำมาประกอบเป็นสิ่งอื่น ๆ ได้

    ยกตัวอย่างเช่น:

    1. Atom ที่ประกอบกันเป็นสิ่งมีชีวิต
    2. Lego ที่ประกอบร่างเป็นของเล่นต่าง ๆ
    3. Engine ในรถยนต์ที่ทำให้รถรุ่นต่าง ๆ สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้

    Modular writing เป็นแนวคิดในการจำแนกงานเขียนออกเป็น module หรือหน่วยย่อย ๆ ที่เราสามารถเขียนจบได้ในตัวเอง

    ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการเขียนเกี่ยวกับ design thinking เราสามารถแบ่ง module ได้แบบนี้:

    • Module 1. What design thinking is
    • Module 2. History of design thinking
    • Module 3. Examples of design thinking
    • Module 4. Case studies of design thinking

    การแบ่งงานเขียนออกเป็น module มีข้อดี คือ:

    1. Overcome blank-page anxiety: ช่วยให้เราไม่รู้สึก overwhelmed เพราะแทนที่เราจะเริ่มจะ 0 (หน้าเปล่า) ไปถึง 100 (งานเขัยนฉบับสมบูรณ์) ในคราวเดียว เราค่อย ๆ เริ่มเขียนจากทีละส่วน และต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ
    2. Ease of restructuring: เราสามารถจัดโครงสร้างของงานเขียนได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละ module จบในตัวเอง เราสามารถสลับ module ไปมาเพื่อให้เข้ากับโครงร่างที่เราต้องการได้ โดยที่เราไม่ต้องแก้ไขงานเขียนใหม่ทั้งหมด (เราแค่ต้องแก้ส่วนเชื่อม module เท่านั้น)

    การเขียนแบบ modular writing มีอยู่ 3 ขั้นตอน:

    1. แยกงานเขียนออกเป็น module แต่ละ module จะต้องมีจุดเริ่มต้น เนื้อหา และจุดจบในตัวเอง
    2. เขียนแต่ละ module
    3. ประกอบ module ให้กลายเป็นงานเขียน

    .

    🪄 2. Writing Stages

    นอกจากการแบ่งงานเขียนเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น เรายังต้องการ writing stages หรือขั้นตอนที่จะช่วยแปลงไอเดียให้กลายเป็นงานเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เพราะงานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ จึงไม่แปลกที่งานเขียนจะมีขั้นตอนการทำงานคล้ายกับ creative process ของการออกแบบ:

    WritingDesigning
    Gather informationGather information
    OutlineSketch
    DraftDesign specifications
    EditPrototyping

    จากตารางด้านบน เราสามารถสรุป writing stages ของการเขียนสามารถสรุปได้เป็น 4 ขั้นหลัก หรือ NODE ซึ่งได้แก่:

    1. N: Note
    2. O: Organise
    3. D: Draft
    4. E: Edit

    ในการเขียน เราจะต้องทำตามแต่ละ step ใน NODE แม้ว่าเราสามารถย้อนกลับไปใน step ก่อนหน้าได้ (เช่น ระหว่างที่เรากำลัง draft เราสามารถกลับไป organise ไอเดียที่เราต้องการนำเสนอได้) แต่เราไม่ควรข้าม step ได้ (เช่น edit งานเขียนก่อนที่จะ draft งานขึ้นมา) การทำเช่นนั้นจะทำให้งานเขียนเรามีรากฐานที่ไม่แข็งแรง เพราะแต่ละ step วางโครงสร้างให้กับ step ถัดไป

    .

    🗒️ N for Note

    ขั้นแรกของ NODE หรือ note หมายถึง การจัดเก็บไอเดียต่าง ๆ เพื่อให้เรามีคลังข้อมูลไว้ใช้เขียนในภายหลัง

    เพราะสมองของเราไม่ถูกออกแบบมาให้จดจำข้อมูลปริมาณมาก แต่เพื่อสร้างไอเดีย เราจึงควรมีระบบที่ช่วยเก็บไอเดียที่เกิดขึ้นจากสมอง เพื่อให้สมองได้มีพื้นที่ในการสร้างไอเดียใหม่ ๆ และไม่ปล่อยให้ไอเดียที่เกิดขึ้นสูญหายไป

    สำหรับขั้นนี้ของ NODE, João นำเสนอระบบ Deep Noting ซึ่งเป็นพัฒนามาจาก Zettelkasten ซึ่งเป็นระบบจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพในสมัยก่อน

    Deep Noting ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. กระดาษ (แนะนำให้ใช้ขนาด A7) และปากกา
    2. TXT file

    และมี 3 ขั้นตอนในการใช้งาน ได้แก่:

    1. Capture notes
    2. Review
    3. Deep notes

    โดยทั้ง 3 ขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้:

    ขั้นที่ 1. Capture notes คือ การจดข้อมูล ไอเดีย ความคิด quote ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันและรู้สึกว่าน่าสนใจลงบนกระดาษ โดยให้จด 1 ไอเดียต่อ 1 แผ่น รวมทั้งต้องโน้ตที่มาและสิ่งที่ทำให้เรานึกถึง (ถ้ามี)

    ยกตัวอย่างเช่น เราเจอ quote ที่น่าสนใจระหว่างอ่านหนังสือ เราอาจจะสร้าง capture note แบบนี้:

    “writing is easy. all you have to do is cross out the wrong words.” — mark twain. reminds of book “essentialism”

    ขั้นที่ 2. Review คือ นำ capture notes ที่เรารวบรวมได้มารีวิวทุกสัปดาห์ เพื่อเลือกเก็บไว้หรือทิ้งไป

    สำหรับ capture notes ที่เลือกเก็บไว้ เราจะปรับให้เป็น deep notes ต่อไป

    ขั้นที่ 3. Deep notes คือ capture notes ที่ถูกแปลงให้กลายเป็นข้อมูลที่เราจะเก็บเข้าคลังความรู้ของเรา โดยเราจะเก็บ deep notes ไว้ในรูปแบบ TXT files ซึ่งจัดเก็บอยู่ใน folder เดียวในคอมพิวเตอร์ของเรา

    (João แนะนำว่า เราไม่ควรแยก folder ย่อย เพราะจะทำให้เราหา TXT files ได้ยากขึ้น)

    เช่นเดียวกับ capture notes, เราจะเก็บ 1 ไอเดียต่อ 1 deep note (1 TXT file) โดย deep note จะประกอบไปด้วย 4 อย่าง ได้แก่:

    1. Idea: เราจะเขียนขยายความจาก capture note ว่าทำไมไอเดียนี้ถึงน่าสนใจ และไอเดียนี้มีความหมายกับเรายังไง
    2. Reference: ที่มาของไอเดีย (ถ้ามี เช่น อ่านจากหนังสือ X, ได้ยินจาก Y)
    3. Link to: อ้างอิงถึงไอเดียอื่น ๆ โดยใส่ชื่อ TXT file ที่เก็บไอเดียนั้นไว้ (ถ้ามี)
    4. Tags: ใส่ #hashtag เพื่อช่วยจับกลุ่มไอเดียต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (เหมือน tweet ใน X)

    ยกตัวอย่างเช่น:

    “Writing is easy. All you have to do is cross out the wrong words.”

    Good writing isn’t about being wordy. It’s as much about picking the right words as cutting out what’s not essential.

    Reference: Mark Twain

    Link to: “write drunk, edit sober”

    #writing #editing

    Note: เพื่อช่วยให้เราจัดค้นหาไอเดียได้ เราสามารถสร้าง TXT file ขึ้นมาเพื่อเก็บ #hashtag ทั้งหมดที่เราเคยสร้างไว้ได้

    ถ้าเราทำตาม Deep Noting ทุกวัน เราจะมีคลังไอเดียที่เติมโตขึ้นทุกวัน และพร้อมเป็นแหล่งข้อมูลให้เรานำไปใช้สร้างงานเขียนได้ตลอดเวลา

    .

    🗺️ O for Organise

    หลังจากที่เรามีไอเดียของตัวเองแล้ว เราจะนำไอเดียมาจัดเรียง (organise) เพื่อสร้างแผนที่ที่จะ guide เราในการร่างงานเขียน (draft) ซึ่งเราทำได้ใน 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Print: ปริ้นต์ TXT files ที่มี #hashtag ที่เราสนใจออกมา (เช่น เราต้องการเขียนเกี่ยวกับ design thinking เราจะปริ้นต์ไฟล์ที่มี #designthinking ทั้งหมด รวมทั้ง #hashtag อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น #designsprint #doublediamond)
    2. Group: จากนั้น เราจะจับไอเดียที่มีเป็นกลุ่มก้อน และตั้งชื่อให้กับกลุ่มไอเดีย (เช่น “history of design thinking”, “prototyping”, “user persona”)
    3. Organise: เราจะจัดเรียงกลุ่มไอเดียให้เป็นเรื่องราว (story) ที่เราต้องการ และตั้งไว้ในจุดที่เรามองเห็นได้ เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทางในการเขียน

    .

    ✒️ D for Draft

    ในขั้นที่ 3 ของ NODE หรือ draft เราจะเริ่มร่างงานเขียนขึ้นมา โดยในขั้นนี้ เป้าหมายของเราคือการเขียนข้อมูลที่มีในหัวที่เราต้องการสื่อสารออกมาให้มากที่สุด โดยยังไม่ต้องสนใจความสวยงาม

    ในขั้นนี้ เราจะต้องทำ 2 อย่าง คือ:

    1. Elaborate: เขียนอธิบายไอเดียที่เราต้องการสื่อสารให้ผู้อ่านเข้าใจ เพราะจนถึงตอนนี้ ไอเดียของเราอยู่ในรูปแบบการเขียนที่เราเข้าใจได้คนเดียว (deep notes)
    2. Clarify: เขียนอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างไอเดีย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไอเดียต่าง ๆ ในงานเขียน

    Draft แรกของเราจะเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้เก็บ feedback จากคนอื่น ๆ (เช่น ให้เพื่อนช่วยอ่าน) เพื่อนำมาปรับปรุงให้เป็นงานเขียนที่สมบูรณ์มากขึ้น

    .

    🔎 E for Edit

    สุดท้าย เราจะปรับแก้ (edit) ร่างงานเขียนของเรา เพื่อให้เป็นงานเขียนที่สมบูรณ์

    โดยในการแก้ไข เราสามารถทำได้ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. Structuring (what และ where): แก้ไขโครงสร้างและลำดับการนำเสนอไอเดียต่าง ๆ (เช่น เราอาจนำ module เกี่ยวกับ case study ขึ้นมาก่อน module เกี่ยวกับนิยามของ design thinking เพื่อดึงดูดผู้อ่านมากขึ้น)
    2. Revising (how): แก้ไขการสะกดคำ การเลือกใช้คำ และรูปแบบประโยค โดยการแก้ไขจะต้องทำให้การสื่อสารไอเดียเป็นไปได้อย่างกระชับ (concise) และแม่นยำ (precise) มากขึ้น ถ้าคำหรือประโยคไหนที่ไม่ทำให้เกิด 2 อย่างนี้ ให้เราเลือกปรับแก้ในทันที

    .

    โดยสรุป writing stages มีอยู่ 4 ขั้นตอน หรือ NODE ซึ่งได้แก่:

    1. Note: จัดเก็บไอเดียต่าง ๆ
    2. Organise: จัดเรียงไอเดียให้เป็นเรื่องราว
    3. Draft: ร่างงานเขียนจากเรื่องราว
    4. Edit: แก้ไขร่างให้เป็นงานฉบับสมบูรณ์

    💪 Writing Method = Modular Writing + Writing Stages

    ตอนนี้ เราเรียนรู้ modular writing และ writing stages แล้ว

    ในการเขียน เราจะใช้ทั้ง 2 อย่างรวมกันเพื่อสร้างงานเขียนอย่างมีประสิทธิภาพใน 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. แยกงานเขียนเป็น modules
    2. เขียนแต่ละ module โดยใช้ NODE
    3. ประกอบ modules เข้าด้วยกัน

    Writing method เป็นวิธีที่จะช่วยให้เราสร้างงานเขียนได้อย่างง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเริ่มเขียนบนหน้าเปล่าอีกต่อไป


    🤩 Deep Noting Notion Template

    สำหรับคนที่ต้องการระบบ Deep Noting เพื่อจัดเก็บไอเดียไว้ต่อยอดสำหรับงานเขียนและโปรเจกต์อื่น ๆ สามารถซื้อ Deep Note template ได้ที่ Notion Marketplace

  • Grow Your Business: สรุป 6 ขั้นตอนในการสร้างและพัฒนาธุรกิจให้บินได้สูงและบินไกล จากหนังสือ How to Grow Your Small Business ของ Donald Miller

    Grow Your Business: สรุป 6 ขั้นตอนในการสร้างและพัฒนาธุรกิจให้บินได้สูงและบินไกล จากหนังสือ How to Grow Your Small Business ของ Donald Miller

    Donald Miller เขียนหนังสือ How to Grow Your Small Business เพื่อถ่ายทอดแนวทางในการทำงานที่ช่วย “professionalise” (ทำให้เป็นมืออาชีพ) ธุรกิจของเรามากขึ้น

    หลายปีก่อน แม้ว่าธุรกิจจะเป็นไปได้ดี แต่ Miller ก็รู้สึกว่า ยังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป และสิ่งนั้นทำให้ Miller รู้สึกติดกับอยู่ในธุรกิจของตัวเอง เพราะแทนที่ธุรกิจจะเติบโตได้ด้วยตัวเอง Miller ต้องคอยกำกับปฏิบัติการธุรกิจไม่ให้ “ลุกเป็นไฟ” ตลอดเวลา

    จากการลองผิดลองถูก Miller ค้นพบแนวทางการทำงานที่เหมาะสมและช่วยให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องคอยกำกับทุกย่างก้าว

    ในบทความนี้ เราจะมาสรุป Small Business Flight Plan หรือ 6 แนวทางการดำเนินธุรกิจจาก How to Grow Your Small Business กัน

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย


    1. ✈️ The Airplane Model
    2. 1️⃣ Cockpit: Leadership
      1. 🧑‍✈️ Business on a Mission Guiding Principles
      2. 🚀 Part 1. Mission Statement
      3. 🔑 Part 2. Key Characteristics
      4. 🫡 Part 3. Critical Actions
      5. 💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles
    3. 2️⃣ Right Engine: Marketing
      1. 🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message
      2. 📖 StoryBrand
      3. 🧑 Element 1. Character
      4. ⚔️ Element 2. Problem
      5. 🧘 Element 3. Guide
      6. 🗺️ Element 4. Plan
      7. ✊ Element 5. Call to Action
      8. 🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success
      9. 💪 How to Implement StoryBrand
    4. 3️⃣ Left Engine: Sales
      1. 🦸 Customer Is the Hero Sales Framework
      2. 💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework
      3. 💡 Pro Tips
    5. 4️⃣ Wings: Product/Service
      1. 🔍 Step 1. Product Profitability Audit
      2. ⚗️ Step 2. More Profitable Products
      3. 👀 Step 3. Product Brief
    6. 5️⃣ Body: Operation & Overhead
      1. 🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook
      2. 💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple
      3. 🍎 Other Meetings
    7. 6️⃣ Fuel: Cash Flow
      1. 💸 Cash Flow Made Simple
      2. 💪 How to Implement Cash Flow Made Simple
    8. 😎 How to Implement Business Flight Plan

    ✈️ The Airplane Model

    หน้าปกหนังสือ How to Grow Your Small Business บน Amazon

    ในจุดเริ่มต้น Miller ชวนให้เรามองธุรกิจเป็นเหมือนเครื่องบิน คือ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ทำงานอย่างสอดคล้องกันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งทำงานผิดพลาด เราก็จะไม่สามารถไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้

    แม้ว่าเครื่องบิน (ธุรกิจ) จะมีส่วนประกอบต่าง ๆ มากมาย แต่เราสามารถแบ่งส่วนที่สำคัญได้เป็น 6 ส่วน ซึ่งเปรียบได้กับองค์ประกอบของธรกิจ ดังนี้:

    ลำดับเครื่องบินธุรกิจ
    1ห้องนักบินLeadership
    2เครื่องยนต์ขวาMarketing
    3เครื่องยนต์ซ้ายSales
    4ปีกProduct/service
    5ตัวเครื่องOperation และ overhead
    6น้ำมันCash flow
    ธุรกิจ = เครื่องบิน

    เพื่อให้ธุรกิจขึ้นบินและไปให้ถึงเป้าหมาย ทั้งหกส่วนนี้จะต้องทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้เครื่องบิน (ธุรกิจ) ตกจากฟ้าได้

    ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ได้รับเงินจากนักลงทุนและใช้สอยไปกับสำนักงาน พนักงาน และ overhead อื่น ๆ โดยไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติมกับด้านอื่น ๆ อย่าง marketing หรือ sales ทำให้เครื่องบินมีตัวเครื่องที่ใหญ่ แต่มีเครื่องยนต์และปีกที่เล็ก ทำให้ธุรกิจบินไปข้างหน้าได้อย่างทุลักทุเล

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าเครื่องบินมีตัวเครื่องที่เล็ก (มี overhead น้อย) แต่มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและมีนักบินที่ดี เครื่องบินก็สามารถบินได้สูงและบินได้ไกล

    ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ธุรกิจไม่เพียงแต่อยู่รอดแต่ยังเติบโตด้วย นั่นก็คือ รักษาสมดุลและเพิ่มประสิทธิของขององค์ประกอบทั้งหกของธุรกิจดังนี้


    1️⃣ Cockpit: Leadership

    Leader หรือนักบิน เป็นส่วนสำคัญแรกของธุรกิจ เพราะเป็นคนกำหนดจุดหมายและเส้นทางการบิน

    ถ้านักบินไม่มีจุดหมายหรือไม่รู้ว่าจะไปจุดหมายยังไง ก็ยากที่เครื่องบินจะบินไปถึงปลายทาง

    ในทางกลับกัน ถ้านักบินมีจุดหมายที่ชัดเจนและรู้เส้นทางการบินเป็นอย่างดี เครื่องบินก็ไปถึงที่หมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หน้าที่หลักของ leader คือ กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวางเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นให้กับธุรกิจ

    🧑‍✈️ Business on a Mission Guiding Principles

    Business on a Mission Guiding Principles เป็นแนวคิดในการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่:

    1. Mission Statement: ภารกิจของธุรกิจ
    2. Key Characteristics: ลักษณะที่ทีมงานควรมี
    3. Critical Actions: สิ่งที่ทีมงานทำได้เพื่อช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    เราไปดูแต่ละส่วนของแต่ละส่วนกัน

    🚀 Part 1. Mission Statement

    Mission Statement คือ สิ่งที่สื่อถึงเป้าหมายของธุรกิจ

    หลาย ๆ องค์กรมี Mission Statement ที่ฟังดูดี แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง เพราะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิด action ที่ช่วยให้ธุรกิจทำภารกิจสำเร็จได้

    ยกตัวอย่างเช่น “เราจะให้บริการลูกค้าด้วยความเป็นเลิศและความซื่อสัตย์” ซึ่งทำให้เกิดคำถามมากกว่า action เช่น:

    • ทีมจะต้องทำยังไงถึงจะได้ชื่อว่า “เป็นเลิศ” และ “ซื่อสัตย์”?
    • ทีมจะต้องทำอย่างนี้เมื่อไร?
    • เพราะอะไร?

    Mission Statement ที่ใช้งานได้จริงไม่ต้องใช้คำสวยหนูหรือฟังดูดี แต่ควรมี ลักษณะ 3 อย่าง ได้แก่:

    1. สั้น
    2. จดจำง่าย
    3. สร้างแรงบันดาลใจให้กับทีมงาน

    ถ้าทีมงานไม่สามารถจำ Mission Statement ได้ ก็ไม่มีทางที่องค์กรจะเดินไปสู่จุดหมายได้

    Mission Statement ที่ดีควรเป็นเหมือน war cry ที่เราสามารถตะโกนออกไป ทำให้เกิด action ที่ผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    Miller เสนอว่า Mission Statement ที่ดีควรประกอบด้วย 3 อย่าง ซึ่งเขียนเป็นสูตรสำเร็จได้ดังนี้:

    We will accomplish X by Y because Z.

    ข้อที่ 1. X หมายถึง economic priorities หรือเป้าหมายทางธุรกิจที่มีความเจาะจง วัดได้ และชัดเจน เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10%
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20%

    Pro tip: เราไม่ควรกำหนด X เกิน 3 ข้อ เพราะจะทำให้ทีมงานไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่จะต้องทำจริง ๆ ได้ยากขึ้น การกำหนด 1-3 economic priorities เป็นตัวเลขที่กำลังดี

    ข้อที่ 2. Y หมายถึง timeline ที่เราจะต้องการไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน

    การเพิ่มเวลาเข้าไปก็เป็นการสร้างความเร่งด่วนที่จะช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า

    ข้อที่ 3. Z คือ เหตุผลที่เราต้องการที่จะได้ X ภายใน Y

    คนส่วนใหญ่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่มีความสำคัญ และการกำหนด Z จะช่วยสื่อสารกับทีมงานว่า ทำไม X ถึงสำคัญ

    เช่น:

    • ร้านอาหาร: เราจะเปิดสาขาใหม่ 100 สาขา ภายในสิ้นปี เพราะทุกคนควรจะมีโอกาสได้ทานอาหารอร่อย ๆ
    • ร้านหนังสือ: เราจะเพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาส 2 เพราะทุกคนควรได้อ่านหนังสือดี ๆ
    • ที่ปรึกษาธุรกิจ: เราจะเพิ่มฐานลูกค้า 20% ภายใน 3 เดือน เพราะทุกธุรกิจควรได้รับคำปรึกษาแบบมืออาชีพ

    🔑 Part 2. Key Characteristics

    ส่วนที่ 2 ของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Key Characteristics หรือลักษณะที่ทีมงานควรมี ซึ่งจะช่วยให้ขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ (three economic priorities)

    ในการกำหนด Key Characteristics เราควรเลือกลักษณะที่:

    1. ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหรือช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
    2. ช่วยให้ทีมงานไม่ย่อท้อเมื่อเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค
    3. สร้างการมีส่วนร่วมและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย

    ยกตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน:

    1. ให้คิดถึงลูกค้าก่อนเสมอ
    2. สามารถอธิบายการลงทุนที่ซับซ้อนได้
    3. ช่วยให้ลูกค้ามีเงินเก็บ

    🫡 Part 3. Critical Actions

    ส่วนสุดท้ายของ Business on a Mission Guiding Principles คือ Critical Actions ซี่งหมายถึง action ที่ทีมงานแต่ละคนสามารถทำได้ทุกวัน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมองค์กรและภายลักษณ์ของธุรกิจให้คนภายนอก

    ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายขนมปัง:

    1. เราจะชวนลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านชิมขนมอบใหม่
    2. เราจะเช็กวันหมดอายุของทุกวัตถุดิบในครัว
    3. เราจะทำความสะอาดที่ทำงานทุดชั่วโมง

    💪 How to Implement Business on a Mission Guiding Principles

    เราสามารถกำหนด Business on a Mission Guiding Principles ได้โดยใช้ worksheet ฟรีจาก SmallBusinessFlightPlan.com:

    Business on a Mission Guiding Principles Worksheet

    เมื่อเรากำหนด Guiding Principles เรียบร้อยแล้ว เราสามารถนำ Guiding Principles ไปใช้ในเอกสารหรือวาระต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำเส้นทางและเป้าหมายของธุรกิจให้กับทีมงานได้

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • รีวิว Guiding Principles ในการประชุมพนักงานทุกสัปดาห์
    • เขียนติดไว้บนผนังในออฟฟิศ
    • ทำวิดีโอเพื่ออธิบาย Guiding Principles ให้กับพนักงานใหม่
    • ใส่ Guiding Principles ไว้ในเอกสารประกาศงาน

    การกำหนด Guiding Principles เป็นเหมือนการเสริมประสิทธิภาพห้องนักบิน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของเราบินไปข้างหน้าได้อย่างมีเป้าหมายและทิศทางมากขึ้น


    2️⃣ Right Engine: Marketing

    ส่วนประกอบที่ 2 ของธุรกิจ คือ marketing ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ขวาที่ขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า

    ถ้าเราไม่มี marketing ที่ดี ธุรกิจของเราก็จะขึ้นบินได้ยาก

    Marketing เป็นเรื่องของการสร้าง brand ผ่านการสื่อสารกับลูกค้า สิ่งที่ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับธุรกิจมาจากคำที่เราใช้ brand ของเราจะถูกสร้างจากคำที่เราสื่อสารออกไป ดังนั้น เราจะต้องเลือกใช้คำให้เหมาะสมเพื่อ marketing มีประสิทธิภาพที่สุด

    🙉 Three Characteristics of Effective Marketing Message

    ในยุคที่ทุกคนพยายามแย่งความสนใจที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจะเรียกให้คนหันมาหา brand เราได้ ถ้า marketing message ของเรามี 3 อย่างนี้:

    1. Survive and thrive: สื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่า ธุรกิจของเราช่วยให้ลูกค้าอยู่รอดและเติบโตยังไงได้บ้าง
    2. Simple language: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้ลูกค้าไม่ต้องตีความสารที่เราต้องการจะสื่อ
    3. Story: สุดท้ายและอาจเรียกได้ว่าสำคัญที่สุด คือ เราจะต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านเรื่องราว เพราะมนุษย์จะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีถ้าผูกกันเป็นเรื่องราว

    📖 StoryBrand

    StoryBrand เป็นแนวคิดในการออกแบบ marketing message ให้เป็นเรื่องราว โดยใช้ 7 องค์ประกอบที่เรามักพบได้ในหนังหรือนิยาย ซึ่งได้แก่:

    StoryBrand Seven-Part Framework (source: How to Grow Your Small Business)
    1. Character: ตัวละครเอกของเรื่อง เช่น Luke Skywalker
    2. Problem: ปมความขัดแย้งของเรื่อง เช่น การต่อสู้กับ Empire
    3. Guide: คนที่จะช่วยตัวเอกแก้ปัญหา เช่น Yoda
    4. Plan: เส้นทางการเดินทางของตัวเอก เช่น การฝึกเป็น Jedi
    5. Call to Action: การเรียกให้ตัวเอกออก action เช่น การที่ Yoda บอกให้ Luke ออกไปต่อสู้กับ Empire
    6. Failure: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกล้มเหลว เช่น ทุกคนจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Empire
    7. Success: สิ่งที่จะเกิดขึ้นหากตัวเอกทำสำเร็จ เช่น ทุกคนจะเป็นอิสระจาก Empire

    เราไปดูรายละเอียดและการแต่ละองค์ประกอบในการสร้าง brand กัน

    🧑 Element 1. Character

    Character เป็นองค์ประกอบแรกสุดในของทุกเรื่องราว หนังที่เราดูหรือนิยายที่เราอ่านเปิดเรื่องมาด้วยตัวละครเอกที่มีความต้องการอะไรบางอย่าง (เช่น ต้องการเป็นราชาโจรสลัด)

    กรนำเสนอตัวเอกเป็นการเปิด story loop ในใจของผู้รับสาร และชวนให้อยากติดตามสารของเรา

    ในการสร้าง brand ตัวละครเอกของเรา คือ ลูกค้าที่ต้องการแก้ปัญหาบางอย่าง

    เราสามารถเปิด story loop ด้วยการสื่อสารถึงความต้องการของลูกค้าให้มีความเฉพาะเจาะจงมากที่สุด เพื่อเรียกความสนใจกลุ่มเป้าหมายของเรา

    ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจให้คำปรึกษาคู่แต่งงาน แทนที่จะเปิด loop อย่างกว้าง ๆ เช่น:

    ❌ ลูกค้าต้องการความสุขในชีวิตแต่งงาน

    ควรเจาะจงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น:

    ✅ ลูกค้าต้องการกลับมารักกันเหมือนกับตอนแต่งงานใหม่ ๆ

    ยิ่งเราระบุความต้องการได้เฉพาะเจาะจงเท่าไร เราก็ยิ่งเรียกความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้นเท่านั้น

    ⚔️ Element 2. Problem

    หลังจากเปิด loop ด้วย Character แล้ว เราจะขยาย loop ให้กว้างขึ้นด้วยการนำเสนอ Problem หรือความขัดแย้งใน story ของเรา

    Problem ทำหน้าที่เป็น hook ที่จะทำให้ทุกคนหันมาสนใจ เรื่องราวที่ไม่มีความขัดแย้งจะเหมือนเรื่องที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ อย่างน่าเบื่อ

    Marketing ของเราก็เช่นกัน ถ้าเราไม่ใส่ความขัดแย้งเข้าไป ลูกค้าก็จะหมดความสนใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอได้

    ความขัดแย้งในหนังและนิยายมักเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ตัวเอกได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น ตัวเอกต้องการแต่งงานกับคนที่หลงรัก ก็ต้องมีตัวละครอื่นหรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับคนรักได้ในทันที

    สำหรับการสร้าง brand, Problem ที่เราจะใส่เข้าไปในเรื่องราว คือ ปัญหาที่ลูกค้ามีซึ่งธุรกิจของเราสามารถช่วยแก้ไขได้

    เมื่อพูดถึงปัญหาที่ตรงใจ ลูกค้าก็พร้อมจะหันมารับฟังเรา

    ยกตัวอย่างเช่น บริษัทจัดหาพนักงาน: “หลายบริษัทหาพนักงานที่มีความสามารถและเข้ากับองค์กรไม่ได้”

    🧘 Element 3. Guide

    หลังจากนำเสนอตัวเอกที่มีความต้องการและอุปสรรคที่ขัดขวางความต้องการแล้ว เราพร้อมที่จะแนะนำธุรกิจของเราในฐานะ Guide

    ในความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและลูกค้า เราจะต้องวางตัวเป็น Guide หรือคนที่จะนำทางตัวเอกไปสู่เป้าหมาย เพราะลูกค้าคนตัวเอกของเรื่อง

    ตัวเอกของเรื่องต้องการคนที่สามารถช่วยให้พวกเขาไปถึงจุดหมายได้ ไม่ใช่ตัวเอกอีกคนที่ต้องการอะไรบางอย่าง ดังนั้น เราไม่ควรวางตัวเป็น Hero แต่เป็น Guide ที่ดี

    เราสามารถแสดงตัวเป็น Guide ที่ดี ได้ด้วยการแสดงออกถึงลักษณะ 2 อย่าง ได้แก่:

    1. Empathy: แสดงออกว่า เราเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของลูกค้า
    2. Authority: แสดงออกว่า เรามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้

    เราสามารถแสดงออกถึง 2 ลักษณะนี้ผ่านข้อความง่าย ๆ เช่น:

    • Empathy: “We know how it feels like to …”
    • Authority: “We have helped thousands of people like you overcome …”

    เมื่อเราแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เราเป็น Guide ที่เข้าใจและมีความสามารถแล้ว ลูกค้าก็จะเชื่อใจเรามากขึ้น

    🗺️ Element 4. Plan

    หลังจากแนะนำตัวในฐานะ Guide แล้ว เราจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ด้วยการบอก Plan หรือขั้นตอนที่ลูกค้าต้องทำเพื่อไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

    Plan ที่เราจะสื่อสารออกไปควรไม่เกิน 3-4 ขั้นตอน เพื่อลูกค้าเข้าใจและจดจำได้ง่าย

    ยกตัวอย่างเช่น Plan ของเว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์:

    1. สั่งสินค้า
    2. ลองสินค้า
    3. คืนสินค้าหากไม่พอดีเท้า
    4. สั่งสินค้า

    Plan จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจเป้าหมายมากขึ้น ด้วยการสร้างความชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

    ✊ Element 5. Call to Action

    แม้ว่ามี Plan แล้ว แต่ลูกค้าก็อาจจะยังไม่กดซื้อสินค้า/บริการของเรา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าลงมือทำ เราจะต้องมี Call to Action

    Call to Action ของเราควรตรงไปตรงมา และใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้

    เราควรหลีกเลี่ยงการใช้คำที่อ้อมค้อม เช่น “Learn more” หรือ “Get started” เพราะจะทำให้เราดูขาดความมั่นใจว่า ธุรกิจเราจะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้

    เราควรใช้คำที่ลูกค้าสามารถตอบรับหรือปฏิเสธได้อย่างชัดเจน เช่น:

    • “Buy now”
    • “Schedule a call”
    • “Call today”

    เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่า เรากำลังเชิญชวนให้ลูกค้าทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

    🤔 Elements 6 & 7. Failure & Success

    สุดท้าย เราจะพูดถึง Failure และ Success เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

    Failure หรือ Success หมายถึง การสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่า ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ถ้าไม่ซื้อ vs ซื้อสินค้า/บริการของเรา

    ยกตัวอย่างเช่น:

    • Failure: ลูกค้าจะต้องเจอปัญหาที่มีอยู่อีกนานเท่าไร?
    • Success: ชีวิตของลูกค้าจะดีขึ้นยังไงบ้าง?

    หลังจากสื่อสารทั้ง 7 องค์ประกอบแล้ว ลูกค้าก็มีโอกาสที่จะซื้อสินค้า/บริการของเรามากขึ้น

    💪 How to Implement StoryBrand

    เราสามารถสร้าง story ของเราได้ ด้วยการใช้ StoryBrand BrandScript จาก SmallBusinessFlightPlan.com:

    StoryBrand BrandScript (source: How to Grow Your Small Business)

    เมื่อเราได้ story ที่เราต้องการจะสื่อสารกับลูกค้าแล้ว เราสามารถนำ story ดังกล่าวไปปรับใช้กับเอกสารทาง marketing ต่าง ๆ เช่น:

    • Landing page
    • นามบัตร
    • โฆษณา

    เพื่อช่วยให้เรื่องราวที่เราสื่อสารในทุก ๆ จุดเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน


    3️⃣ Left Engine: Sales

    ส่วนประกอบที่ 3 ของธุรกิจ คือ sales ซึ่งเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ซ้ายของเครื่องบิน

    Sales เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจ เพราะถ้าไม่มี sales เราก็จะไม่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้

    ในการสร้างเครื่องยนต์ซ้ายที่ดี เราสามารถใช้ StoryBrand เพื่อสร้างเล่าเรื่องและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเราได้

    StoryBrand เมื่อปรับใช้กับ sales จะเรียกแนวคิดนี้ว่า Customer Is the Hero Sales Framework

    🦸 Customer Is the Hero Sales Framework

    Sales เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่า sales เป็นเรื่องของการจูงใจ โน้มน้าวใจให้ที่ไม่อยากซื้อมาซื้อกับเราให้ได้

    ในจุดนี้ Miller ชวนให้เรามอง sales ใหม่

    จาก:

    Sales = Manipulation (บงการ)

    เป็น:

    Sales = Invite customers into a story

    ในการขายในฉบับ Miller เราจะใช้แนวคิดเดียวกับ marketing นั่นคือ ขายผ่านเรื่องราวซึ่งมี 7 องค์ประกอบ:

    1. Character
    2. Problem
    3. Guide
    4. Plan
    5. Call to Action
    6. Failure
    7. Success

    โดยสิ่งที่ต่างออกไปจาก marketing คือ sales มีความยืดหยุ่นกว่า ในขณะที่ใน marketing เราสามารถสื่อสารเรื่องราวผ่านคำบนเว็บไซต์ที่คิดแล้วใช้ได้นาน ๆ ใน sales เราจะต้องสอดแทรกเรื่องราวเข้าไปในระหว่างการพูดคุยกับลูกค้า

    ซึ่งถ้าเราจะทำแบบนั้นได้ เราจะต้อง “think in story” ให้เป็น

    Miller ยกตัวอย่างเชฟที่รับจ้างทำอาหารตามบ้าน ถ้าเชฟไม่ได้ “คิดเป็นเรื่องราว” เมื่อมีคนถามว่าทำอาชีพอะไร เชฟอาจจะตอบว่า:

    “ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ้างทำอาหารตามบ้าน”

    ในทางกลับกัน ถ้าเชฟใช้เรื่องราวในการขาย:

    “คุณรู้ไหมว่า ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน? หรือถ้ากินด้วยกันก็ไม่ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผมเป็นเชฟส่วนตัว ผมรับจ็อบทำอาหารตามบ้าน เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ และไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพอาหารหรือเก็บกวาดครัว”

    ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า การพูดของเชฟมีองค์ประกอบของ StoryBrand เช่น:

    1. Character: ครอบครัวที่ต้องการทานอาหารด้วยกัน
    2. Problem: ไม่มีเวลาทานอาหารดี ๆ ด้วยกัน
    3. Guide: เชฟส่วนตัว

    ทั้งนี้ เชฟสามารถใช้องค์ประกอบอื่น ๆ ของ StoryBrand ในการพูดคุยต่อได้

    เช่น Plan:

    “ถ้าคุณสนใจ ขั้นตอนง่ายนิดเดียว ผมจะนัดคุยกับคุณสั้น ๆ เพื่อดูว่าคุณของทานอะไร จากนั้น ผมจะเตรียมของและไปทำอาหารให้คุณที่บ้าน และถ้าคุณอยากให้ผมไปทำอาหารให้เป็นจำ เช่น ทุกวันเสาร์ เราค่อยคุยกันว่า จะเป็นช่วยไหนดี”

    Failure ที่สื่อสารผลกระทบเชิงลบที่อาจตามมา พร้อมความเร่งด่วน:

    “อีกไม่กี่ปี เด็ก ๆ ก็จะโตออกไปอยู่ด้วยตัวเองแล้ว”

    และ Success:

    “ลูกค้าของผมได้ทานอาหารอร่อย ๆ และนั่งสบาย ๆ ทำความรู้จักคนในครอบครัวมากขึ้น นี่ขนาดว่าผมไปบ้านพวกเขาแค่ 1-2 วันจ่อสัปดาห์เองนะ”

    Call to Action ที่ตรงไปตรงมา ช่วยให้ลูกค้าตอบรับหรือปฏิเสธได้:

    “ตอนนี้ ผมมีเวลาช่วงเย็นวันพุธ คุณสนใจอยากจะนัดคุยกันเลยไหม?”

    💪 How to Implement Customer Is the Hero Sales Framework

    เพื่อช่วยให้เราคิดเป็นเรื่องราวได้ เราสามารถวางเรื่องราวที่เราจะใช้เล่าได้ก่อน

    เมื่อเราร่างเรื่องราวเสร็จ ให้เรา highlight ข้อความต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า เรามีครบทั้ง 7 องค์ประกอบ:

    1. Character: –
    2. Problem: สีแดง 🔴
    3. Guide: สีม่วง 🟣
    4. Plan: สีน้ำตาล 🟤
    5. Call to Action: สีเขียว 🟢
    6. Failure: สีเหลือง 🟡
    7. Success: สีน้ำเงิน 🔵

    ในกรณีที่เราเห็นว่า เรื่องราวของเรามีองค์ประกอบมากเกินไป เช่น สีแดง (Problem) เยอะเกิน เราสามารถแก้ไขเนื้อเรื่องเพื่อให้มีความสมดุลมากขึ้นได้

    เมื่อเขียนเสร็จ เราก็จะได้เรื่องราวสำหรับพูดคุยและชวนลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของเรา

    💡 Pro Tips

    การขายแบบใช้ story เป็นการชวนลูกค้าเข้ามาในเรื่องราวที่เราวางไว้ เช่นเดียวกันกับผู้กำกับที่มองหานักแสดงที่เหมาะกับเนื้อเรื่อง เราจะต้องประเมินว่า ลูกค้าเหมาะกับเรื่องราวที่เรากำลังเล่าไหม

    ถ้าไม่เหมาะ เราไม่ควรพยายามขายต่อ หรือพยายามไม่ให้ลูกค้าซื้อสินค้า/บริการจากเรา เพราะลูกค้าที่ไม่ fit อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากธุรกิจของเรา และในกรณีที่ลูกค้าไม่พอใจ ก็อาจจะส่งผลเสียกับ brand มากกว่าได้

    ดังนั้น เราควรมองหาลูกค้าที่เหมาะกับเรื่องราวของเรา และกรองลูกค้าที่ไม่ใช่ออก

    นอกจากนี้ แม้ว่าเราจะขายผ่านเรื่องราว แต่ลูกค้าก็มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเรื่องราวของเรา ในกรณีที่ลูกค้าปฏิเสธ ให้เราปิดจบการขายอย่างมั่นใจ เช่น:

    “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณรู้จักใครที่อยากได้เชฟส่วนตัว สามารถบอกผมได้เลย”

    การตอบอย่างมั่นใจจะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องปฏิเสธ และทำให้เราดูเป็นมืออาชีพอีกด้วย


    4️⃣ Wings: Product/Service

    ส่วนประกอบที่ 4 ของธุรกิจ คือ สินค้าและบริการ ซึ่งเปรียบเหมือนปีกเครื่องบิน

    ไม่ว่าเครื่องยนต์ (marketing และ sales) จะดีแค่ไหน แต่ถ้าปีกไม่กว้างหรือแข็งแรงพอ เครื่องบินก็จะไม่สามารถขึ้นบินได้

    เพื่อสร้างปีกที่แข็งแรง Miller เสนอให้เราทำตาม 3 ขั้นตอนดังนี้:

    1. Product Profitability Audit
    2. New profitable products
    3. Product brief

    🔍 Step 1. Product Profitability Audit

    ในขั้นแรก ให้เราจัดลำดับสินค้า/บริการตามผลกำไร (profitability) ซึ่งเราคำนวณได้ง่าย ๆ จากสูตร: ราคาขาย – ต้นทุน

    (เราสามารถใช้ Product Profitability Audit Worksheet ช่วยได้ ดู worksheet ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com)

    Product Profitability Audit Worksheet:

    Product Profitability Audit Worksheet

    เมื่อทำแบบนี้แล้ว เราสามารถแบ่งสินค้า/บริการได้เป็น 2 กลุ่ม:

    1. กลุ่มที่ทำกำไรได้ดี
    2. กลุ่มที่ขายไม่ออก

    สำหรับกลุ่มแรก ให้เราโฟกัสการขายไปเพื่อเพิ่มยอดขายจากเดิม เพราะการขายของที่ขายดีอยู่แล้วง่ายกว่าการขายของอื่น

    สำหรับกลุ่มที่สอง ให้เราเลือกหยุดขายเพื่อที่เราจะได้ (1) โฟกัสกับสินค้า/บริการที่ขายดี และ (2) ไม่ต้องแบกรับต้นทุนต่อ

    ⚗️ Step 2. More Profitable Products

    นอกจากการโฟกัสไปที่สินค้า/บริการขายดีและหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพภาพของปีกด้วยการสร้างสินค้า/บริการที่ขายดีเพิ่ม

    Miller แนะนำสินค้า/บริการไว้ 6 ประเภท ได้แก่:

    1. Making money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าสร้างรายได้เพิ่ม เช่น การให้คำปรึกษาทางการเงิน
    2. Save money: สินค้า/บริการที่ช่วยลูกค้าออมเงินหรือประหยัดเงิน
    3. Reducing frustration: สินค้า/บริการที่สร้างความอุ่นใจ สบายใจ หรือสุขใจให้กับลูกค้า เช่น บริการดูแลสัตว์เลี้ยงเวลาเจ้าของไม่อยู่บ้าน
    4. Gaining status: สินค้า/บริการที่สร้างฐานะให้กับลูกค้า เช่น เครื่องเพชร, นาฬิกา, รถยนต์
    5. Creating connection: สินค้า/บริการที่สร้าง community และทำให้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้รวมตัวกัน
    6. Offering simplicity: สินค้า/บริการที่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย เช่น บริการทำความสะอาด

    👀 Step 3. Product Brief

    สุดท้าย ก่อนที่เราจะสร้างสินค้า/บริการใด ๆ เราจะต้องเขียน product brief หรือเอกสารที่แจกแจงรายละเอียดต่าง ๆ ของสินค้า/บริการ พร้อมส่งต่อ product brief ให้กับทีม เพื่อเป็นการทดสอบและพัฒนาไอเดียต่อที่จะสร้างเป็นสินค้า/บริการจริง

    (ดู Product Brief Worksheet ได้ฟรีที่ SmallBusinessFlightPlan.com)

    ตัวอย่าง Product Brief Worksheet:

    ตัวอย่างบางส่วนของ Product Brief Worksheet

    แม้การทำอย่างนี้จะทำให้การทำงานช้าลง แต่การบินไปข้างหน้าในอนาคตจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะสินค้า/บริการถูกกระบวนคิดและวิจารณ์มาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

    เมื่อเราทำทั้ง 3 อย่าง:

    1. Product Profitability Audit: เน้นขายสินค้า/บริการที่สร้างกำไรได้ดี และหยุดขายสินค้า/บริการที่ขายไม่ดี
    2. More profitability products: สร้างสินค้า/บริการที่สร้างรายได้เพิ่มเติม
    3. Product brief: เขียนรายละเอียดสินค้า/บริการใหม่

    เราก็จะทำให้ปีกของเราแข็งแรง มีแรงส่งให้ธุรกิจของเราบินไดีเร็วและไกลมากขึ้น


    5️⃣ Body: Operation & Overhead

    Operation และ overhead เปรีบเหมือนตัวเครื่อง และเป็นส่วนประกอบที่ 5 ของธุรกิจ

    ถ้าตัวเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไป เครื่องบินก็จะขึ้นบินได้ยาก

    เช่นเดียวกัน ธุรกิจจะเติบโตจะได้ยาก ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ช่วยผลักดันธุรกิจไปข้างหน้ามากเกินไป

    ถ้าเราต้องการให้ธุรกิจบินได้เร็วและคล่องตัว เราจะต้องทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำได้ 2 วิธี:

    วิธีที่ 1: Lay off หรือลดขนาดตัวเครื่องด้วยการปลดพนักงานออก ซึ่งสามารถส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ และความสัมพันธ์กับพนักงาน

    วิธีที่ 2: เปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจ

    ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนให้พนักงานช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจมากขึ้นในขณะที่รายจ่ายยังเท่าเดิม เครื่องบินของเราจะมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นในขณะที่ตัวเครื่องยังมีขนาดเท่าเดิม ทำให้ขนาดตัวเครื่องไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

    เราควรใช้วิธีที่ 2 เป็นอันดับแรก และเก็บวิธีที่ 1 ไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

    🤝 Management and Productivity Made Simple Playbook

    Miller สร้าง Management and Productivity Made Simple Playbook ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยน overhead ให้กลายเป็นแรงผลักดันธุรกิจ ด้วยการจัดทัพให้พนักงานไปสู่จุดหมายเดียวกัน ผ่าน 5 การประชุม ได้แก่:

    1. All-Staff Meeting: ประชุมรวมพนักงาน ทุก ๆ วันแรกของสัปดาห์ เพื่อช่วยให้พนักงานโฟกัสกับ 3 economic priorities และรักษากำลังใจพนักงาน ใช้เวลา 45-60 นาที
    2. Leadership Meeting: ประชุมผู้บริหารและหัวหน้า เพื่อสื่อสารโปรเจกต์ที่ดำเนินการอยู่ของแต่ละฝ่าย รวมทั้งอุปสรรคที่กำลังเผชิญ จัดขึ้นทุกสัปดาห์หลัง All-Staff Meeting และใช้เวลา 30-60 นาที
    3. Department Stand-up: ประชุมทีมของแต่ละฝ่าย เพื่อกำหนดเป้าหมายงานในแต่ละวัน รวมทั้งจัดการอุปสรรคที่มี จัดขึ้น 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีต่อครั้ง
    4. Personal Priority Speed Check: ประชุม 1 ต่อ 1 ระหว่างหัวหน้าทีมและสมาชิกทีม เพื่อเช็กการทำงานและเป้าหมายส่วนบุคคล จัดขึ้นทุก ๆ สัปดาห์ ไม่เกิน 15 นาที
    5. Quarterly Performance Reviews: จัดขึ้นทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้สมาชิกทีมและหัวหน้าทีมได้รีวิวการทำงานกับหัวหน้าทีมแบบ 1 ต่อ 1

    💪 How to Implement Management and Productivity Made Simple

    Miller แบ่งการใช้งาน Playbook เป็น 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

    ขั้นที่ 1. หา operator

    Miller แบ่งผู้นำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่:

    1. Artist: ผู้นำที่มุ่งเน้นการพัฒนา product
    2. Entrepreneur: ผู้นำที่มองหาโอกาสทางธุรกิจ
    3. Operator: ผู้นำที่ชอบวางระบบและจัดระเบียบ

    Miller แนะนำว่า คนที่ช่วยทำให้เกิดการประชุมทั้งห้าควรเป็น Operator มากกว่า Artist และ Entrepreneur เพราะ Artist และ Entrepreneur จะเข้าประชุมพร้อมกับไอเดียและพาทุกคนออกทะเล แต่ Operator จะเข้าประชุมเพื่อทำให้การประชุมดำเนินไปได้ตามที่กำหนด

    ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจและรู้ตัวว่า เราไม่ใช่ Operator เราควรแต่งตั้งคนที่เป็น Operator มาช่วยทำให้เกิด meetings ขึ้นแทนเรา

    ขั้นที่ 2. จัดการประชุม

    เมื่อได้ Operator มาแล้ว ให้เราค่อย ๆ เพิ่มประชุมทีละอย่าง โดยเราจะเพิ่มประชุมก็ต่อเมื่อทุกอย่างเริ่มดูเข้าทีเข้าทางจากประชุมก่อนหน้า

    เราจะทยอยจัดประชุมตามนี้:

    1. All-Staff Meeting
    2. Leadership Meeting
    3. Department Stand-up
    4. Personal Priority Speed Check
    5. Quarterly Performance Reviews

    เพื่อทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพ ผู้รับผิดควรจะต้องเตรียมตัวมาก่อนโดยการกรอก worksheet ของแต่ละการประชุมล่วงหน้า เราสามารถดู worksheets ฟรีได้ที่ SmallBusinessFlightPlan.com

    ตัวอย่าง worksheet:

    All-Staff Meeting worksheet

    🍎 Other Meetings

    ทั้งนี้ เราสามารถปรับเปลี่ยนการประชุมได้ตามความต้องการของธุรกิจ

    เช่น ธุรกิจเรามีพนักงาน 5 คน เราสามารถรวม All-Staff Meeting กับ Leadership Meeting เข้าด้วยกันได้ และไม่ต้องมี Department Stand-up เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า จะมีงานอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    นอกจานี้ เราสามารถมีประชุมเสริม เพื่อตอบโจทย์อื่น ๆ ได้ เช่น:

    • Revenue meeting เพื่อรีวิวผลกำไรและทิศทางที่จะไปต่อ
    • War Rooms สำหรับแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจง
    • Leadership off-site meeting สำหรับผู้บริหารและหัวหน้าทีมได้ใช้เวลาร่วมกันนอกออฟฟิศ

    คนที่รู้จักธุรกิจของเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง ดังนั้น เราสามารถออกแบบได้ว่าการประชุมแบบไหนจะให้ผลที่ดีที่สุดกับธุรกิจ


    6️⃣ Fuel: Cash Flow

    ส่วนสุดท้าย แต่สำคัญไม่น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ คือ น้ำมัน หรือ cash flow

    ไม่ว่าเครื่องยนต์จะทรงพลังหรือปีกจะแข็งแรงขนาดไหน ธุรกิจของเราจะขึ้นบินไม่ได้ถ้าไม่มี cash flow หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์

    แม้ว่าธุรกิจเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในโลก แต่ธุรกิจจะดำเนินไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินสนับสนุน

    การบริหารการเงินอาจไม่ใช่เรื่องที่สนุกที่สุดของการดำเนินธุรกิจ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น Miller เองดูเหมือนนักธุรกิจหลาย ๆ คนที่ชอบการหาเงินมากกว่าจัดการเงิน ดังนั้น แนวทางในการบริหารเงินของ Miller จึงเน้นความเข้าในง่ายและตอบโจทย์ได้จริง

    💸 Cash Flow Made Simple

    แนวคิด Cash Flow Made Simple เสนอให้เราแบ่งบัญชีออกป็น 5 บัญชี ได้แก่:

    1. Operating Account สำหรับดำเนินธุรกิจ (เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าออฟฟิศ)
    2. Personal Account สำหรับรับเงินเดือน
    3. Tax Account สำหรับจ่ายภาษีธุรกิจ
    4. Business Profit Account สำหรับเก็บกำไรจากธุรกิจ
    5. Investment Holding Account สำหรับลงทุนต่อยอด

    การใช้ทั้ง 5 บัญชีมี 5 ขั้นตอนดังนี้:

    ขั้นที่ 1. เก็บเงินสำหรับใช้จ่ายทุกอย่างของธุรกิจไว้ใน Operating Account (เท่านั้น)

    ขั้นที่ 2. ทุก ๆ สัปดาห์ เดือน หรือปี ให้จ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง จาก Operating Account เข้า Personal Account โดยเราควรกำหนดจำนวนเงินล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เราดึงเงินออกมามากเกินและทำให้ธุรกิจขาด cash flow

    การจ่ายเงินเดือนจะทำให้เรารู้ว่า เงินไหนเป็นของเรา และเงินไหนสำหรับธุรกิจ

    ขั้นที่ 3. ในกรณีที่เงินใน Operating Account เกินจำนวนที่ตั้งไว้ ให้แบ่งเงินส่วนเกินไป 2 บัญชีนี้:

    1. ครึ่งหนึ่งไปที่ Tax Account เพื่อให้มีเงินจ่ายภาษี
    2. ครึ่งหนึ่งไปที่ Business Profit Account เพื่อเก็บเป็นเงินสำรองในยามที่ธุรกิจขัดสน

    ทั้งนี้ Miller แนะนำว่า ระดับที่เรากำหนดไว้ ควรเท่ากับค่าใช้จ่ายสูงสุดที่เราจะเจอในเดือนนั้น ๆ

    เช่น เราคาดว่า จะต้องจ่ายเงินให้ supplier 500,000 บาท แสดงว่า ระดับในเดือนนั้นควรสูงกว่า 500,000 บาท เพื่อให้เรามีเงินใช้จ่ายอย่างอื่นได้ (เช่น 600,000 บาท)

    ถ้าเรามีเงินเกินระดับที่กำหนด (เช่น 620,000 บาท) เราถึงจะแบ่งเงินส่วนเกินเข้า Tax Account และ Business Profit Account (บัญชีละ 20,000 / 2 = 10,000 บาท)

    ขั้นที่ 4. ในกรณีที่ Business Profit Account มีเงินมากเกินระดับที่กำหนดไว้ ให้โอนเงินส่วนเกินไปยัง Investment Holding Account

    ระดับที่กำหนดควรสูงกว่าระดับของ Operating Account 6 เท่า เพื่อให้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงธุรกิจในยามวิกฤตได้

    Miller เปรียบเทียบการมีเงิน ใน Business Profit Account เหมือนกับเครื่องบินที่มีน้ำมันสำรอง ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งทำให้บินรอบสนามได้นานได้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นและเครื่องบินสามารถลงจอดได้

    ในกรณีที่ธุรกิจเผชิญกับวิกฤติ เราสามารถโอนเงินจาก Business Profit Account และ Tax Account กลับไปยัง Operating Account ได้

    ขั้นที่ 5. เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำอะไรกับเงินใน Investment Holding Account เช่น:

    • หาความสุขให้ตัวเองด้วยการซื้อรถคันใหม่
    • เอาเงินไปลงทุนต่อยอด เพื่อให้ได้ปันผลกลับมา เป็นรายได้ช่องทางที่สองต่อจากธุรกิจของเราเอง
    การไหลของเงินใน Cash Flow Made Simple: Operating Account >> Personal Account (Owner’s Personal) + Tax (Taxes) + Business Profit Account (Business Savings) >> Investment Holding Account (Owner’s Investment)

    💪 How to Implement Cash Flow Made Simple

    เราสามารถเริ่มใช้ Cash Flow Made Simple ได้ใน 5 ขั้นตอนดังนี้:

    1. เปิดบัญชีทั้งห้า
    2. ใช้จ่ายทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจจาก Operating Account
    3. จ่ายเงินเดือนให้ตัวเองเข้า Personal Account
    4. กำหนดระดับของ Operating Account สำหรับโอนเงินไปยัง Tax Account และ Business Profit Account
    5. กำหนดระดับของ Business Profit Account สำหรับโอนไป Investment Holding Account

    Bonus: เราสามารถใช้ SmallBusinessFlightPlan.com เพื่อช่วยคำนวณและวางแผน cash flow ได้


    😎 How to Implement Business Flight Plan

    คนที่อยากใช้ Small Business Flight Plan สามารถทำได้ 3 วิธี:

    1. ทำเองโดยใช้หนังสือ How to Grow Your Small Business เป็นคู่มือ
    2. สมัครเรียนกับ Business Made Simple University (BusinessMadeSimple.com)
    3. จ้าง certified coach ของ Business Made Simple (HireACoach.com)

    ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน เราสามารถปรับใช้ Small Business Flight Plan ได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจเรา เพราะแต่ละธุรกิจมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และคนที่รู้จักธุรกิจเราดีที่สุด คือ ตัวเราเอง


    หมายเหตุ:

    เนื้อหาบางส่วนถูกเสริมมาจากหนังสือและคอร์สเรียน Business Made Simple


    🧠 Grow Your Knowledge

    สำหรับคนที่สนใจอยากศึกษาการบินธุรกิจเพิ่มเติม สามารถซื้อหนังสือ How to Grow Your Small Business โดยคลิกด้านล่าง:

  • สรุปหนังสือ Hero on a Mission ของ Donald Miller: แนวคิด วิธีการ และเครื่องมือในการสร้างความหมายและใช้ชีวิตอย่าง Hero ของตัวเอง

    สรุปหนังสือ Hero on a Mission ของ Donald Miller: แนวคิด วิธีการ และเครื่องมือในการสร้างความหมายและใช้ชีวิตอย่าง Hero ของตัวเอง

    วันก่อน ผมเพิ่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ Donald Miller ชื่อ Hero on a Mission (2021)

    ผมชอบหนังสือของ Donald Miller ตั้งแต่ได้อ่าน Marketing Made Simple ด้วยสไตล์การเขียนที่สั้นกระชับ ตรงจุด มีเนื้อหาที่ให้มุมมองแปลกใหม่ พร้อมแนวทางการนำไปใช้ต่อได้จริง

    หนังสือ Hero on a Mission แตกต่างจากเล่มก่อน ๆ ที่ผมเคยอ่าน (และซื้อมาดอง 555) อย่าง Marketing Made Simple, Business Made Simple, Negotiation Made Simple ซึ่งพูดถึงทักษะและสิ่งที่ควรทำเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโต

    หน้าปกหนังสือ Hero on a Mission ใน Amazon Kindle

    Hero on a Mission เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น

    Donald Miller เปรียบชีวิตเป็นเหมือนกับ story ที่มีจุดเริ่มต้น กลางเรื่อง และจุดจบ โดยทิศทางที่เนื้อเรื่องจะดำเนินไปขึ้นอยู่กับตัวละครที่เราเป็น

    Donald Miller แบ่งตัวละครในชีวิตออกเป็น 4 แบบ:

    1. Victim คือ คนที่ปล่อยให้ story (ชีวิต) ขึ้นอยู่กับโชคชะตา (fate) และปัจจัยภายนอก
    2. Villain คือ คนที่ตอบสนองต่อความลำบากในชีวิต ด้วยการทำให้คนอื่นดูเล็กลง (make others small)
    3. Hero คือ คนที่ต้องการบางอย่างในชีวิต และเผชิญหน้ากับความท้าทายและยากลำบากที่ตามมา
    4. Guide คือ คนที่พร้อมจะนำ hero พิชิตอุปสรรคในชีวิต

    เราแต่ละคนมีพลังของทั้งสี่ตัวละครอยู่ และในแต่ละเวลาเราเล่นเป็นบทบาทที่แตกต่างกันไป

    • เวลาที่เราท้อแท้ เราอาจเล่นบทเป็น victim
    • เวลาที่เราต้องการแก้แค้น เราอาจเล่นบท villain

    สองบทบาทแรกเป็นบทบาทที่ไม่ช่วยให้ story ของเราเดินไปข้างหน้า

    • victim เป็นผู้ที่อ่อนแอและต้องการความช่วยเหลือ การเล่นเป็น victim มีข้อดีที่ทำให้เราได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ในระยะยาว เรื่องราวของเราจะเดินอยู่ที่เดิม เพราะเราไม่ได้ทำให้ตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
    • เช่นเดียวกัน การเล่นบทเป็น villain ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไป เพราะเราใช้พลังไปกับการทำให้คนอื่นดูแย่ แต่ภายในตัวเรายังคงเหมือนเดิม

    ถ้าเราจะดำเนินเรื่องไปในทิศทางที่เราต้องการแล้ว เราจะต้องเล่นบท hero และ guide


    🦸 Be a Hero

    ชีวิตของเราเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา และทุกนาทีที่เราปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามสภาพแวดล้อม เราปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไร้ทิศทาง

    ถ้าเราต้องการที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ เราต้องการเปลี่ยนบทจาก victim ที่อ่อนแอและรอคอยความช่วยเหลือ มาเป็น hero ผู้ที่อ่อนแอแต่พร้อมเผชิญกับความยากลำบาก และกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในที่สุด

    เมื่อเราเลือกที่จะสวมบท hero ในชีวิต เราจะต้องมี mindset 2 อย่าง:

    1. Story can change: เชื่อว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เรื่องราวของเราสามารถเปลี่ยนได้เสมอ
    2. You can be the author: เชื่อว่า โชคชะตาและพระเจ้าเป็นหนึ่งในผู้กำกับชีวิต แต่เราก็สามารถเป็น “ผู้เขียน” ที่แก้ไขเรื่องเราในชีวิตของเราได้เช่นกัน

    ผู้ที่เป็น hero เลือกที่จะรับผิดชอบในชีวิต ตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ


    👟 Life of Meaning

    Hero คือ ผู้ที่เลือกใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    Donald Miller มองว่า การจะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มีอยู่ 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    1. Know what you want
    2. Accept the challenge
    3. Share it with others

    🐦‍🔥 Step 1. Know You Want

    Hero จะต้องเลือกทิศทางในการดำเนินเรื่องราวของตัวเอง

    เช่นเดียวกับหนังและนิยาย เรื่องราว (ชีวิต) จะไม่เกิดขึ้นและไม่น่าสนใจ ถ้า hero ไม่มีความต้องการ:

    1. เราจะไม่มี The Hobbits ถ้า Bilbo ไม่ต้องการออกไปผจญภัย
    2. เราจะไม่มี Star Wars ถ้า Luke ไม่ต้องการเป็น Jedi
    3. เราจะไม่มี The Avengers ถ้า Avengers ไม่ต้องการกอบกู้โลก

    เรื่องราวชีวิตของเราจะเริ่มขึ้นเมื่อเราต้องการอะไรบางอย่าง หรือเป้าหมายในชีวิต

    เป้าหมายในชีวิต คือ ความต้องการที่ดึงดูดให้เราเข้าหา ความต้องการนี้อาจจะเป็นความต้องการที่ฟังดูเห็นแก่ตัว เช่น ต้องการช่วยคนยากจนเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี Donald Miller ระบุว่า ความต้องการเหล่านี้ไม่ใช่ความต้องการที่ผิด ตราบเท่าที่ความต้องการนี้เป็นประโยชน์กับคนอื่นและทำให้โลกนี้ดีขึ้น (mutually beneficial)

    สำหรับ Donald Miller การมีความต้องการ (ต้องการช่วยคนยากจน) ดีกว่าไม่มีความต้องการเลย (ไม่ต้องการช่วยคนยากจน)

    แต่การมีความต้องการมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะจะทำให้เรื่องราวของเรา “เจือจาง”

    ตัวอย่างเช่น ใน The Avengers ถ้า Tony Stark ไม่ได้ต้องการที่จะกู้โลกอย่างเดียว แต่ยังต้องการขยายธุรกิจ, จัดงานแต่งกับ Pepper Potts, เรียนเต้น samba เนื้อเรื่อง The Avengers จะดูวุ่นวายและขาดความน่าสนใจขึ้นมาในทันที

    ชีวิตของเราก็เช่นกัน ถ้าเราโฟกัสกับความต้องการ 2-3 อย่าง เราจะมีเวลาและกำลังในการใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และน่าสนใจ


    🏃‍♂️ Step 2. Accept the Challenge

    การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ลงมือทำ

    การตั้งเป้าหมายไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นมาในทันที แต่ความหมายจะเกิดขึ้นเมื่อเราลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

    เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย hero จะต้องทำ 2 สิ่งที่สำคัญ:

    1. Put something on the plot: ทำกิจกรรมที่ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปสู่จุดหมาย
    2. Remember the theme: จดจำเป้าหมายของตัวเองได้

    .

    🔨 The Tools

    Donald Miller นำเสนอ 5 เครื่องมือที่จะช่วยในการกำหนดเป้าหมาย ผลักดันให้เนื้อเรื่องดำเนินไปข้างหน้า และคอยช่วยจดจำเป้าหมาย ซึ่งได้แก่:

    .

    Tool #1. Eulogy: เขียนคำสรรเสริญ (สำหรับคนที่ลาจากไปแล้ว) ให้กับตัวเอง เป็นเทคนิคในการ reverse-engineer ชีวิตที่เราต้องการกลับมายังปัจจุบัน

    สิ่งที่เราสามารถเขียนใน eulogy เช่น:

    • ผลงานที่เราอยากจะทิ้งไว้เบื้องหลัง
    • ภาพที่เราอยากให้คนอื่นจดจำ
    • ข้อคิดที่เราอยากจะฝากไว้กับโลก

    ตัวอย่าง eulogy จาก Donald Miller:

    Donald Miller was a loving husband to his wife, Betsy, and an ever-present father to their daughter, Emmeline. His number one priority in life was always his family, which is why he limited his travel and work schedule to enjoy time with the people he loved the most. Don and his family built a home called Goose Hill in which many friends, family members, and invited guests found rest and encouragement. Don, Betsy, and Emmeline loved to practice hospitality and were always surrounded by people who were working to make the world better.

    (Note: ตัวหนา คือ ตัวอย่างเนื้อหาหลักที่ใส่ลงใน eulogy)

    .

    Tool #2. Vision worksheets: worksheets ที่ช่วยนำภาพใน eulogy มากำหนดเป็นภาพปลายทาง 10 ปี, 5 ปี, และ 1 ปี เป็นเหมือนการกำหนดหนังแต่ละภาคในชีวิตของเรา โดยในแต่ละครั้ง เราจะกรอกรายละเอียดดังนี้:

    • Age: อายุในอีก 1, 5, หรือ 10 ปีข้างหน้า
    • Title: ชื่อหนังในช่วงเวลานั้นของชีวิต เช่น บัณฑิตผู้มีความรู้
    • Projects: เช่น ในด้านครอบครัว พูดคุยกับพ่อแม่มากขึ้น, และในด้านเรียน เราจะอ่านหนังสือเดือนละ 2 เล่ม
    • Daily to-dos: 2 สิ่งที่จะทำในแต่ละวัน เช่น อ่านหนังสือวันละ 1 บท
    • Daily not-to-dos: 2 สิ่งที่จะไม่ทำในแต่ละวัน เช่น งดเล่นเกม

    ทั้งนี้ เราจะเริ่มกรอกจาก 10 ปี, 5 ปี, และ 1 ปี ตามลำดับ

    .

    Tool #3. Goal-setting worksheet (optional): worksheet ที่ช่วยเราติดตามความคืบหน้าในการเดินทางของเรา ถ้าเรามองว่า vision worksheets เพียงพอแล้ว เราสามารถข้าม goal-setting worksheet ไปได้

    Goal-setting worksheet มี 4 อย่างที่เราต้องเติม:

    1. Why: เหตุผลเบื้องหลังเป้าหมายของเรา
    2. Goal partner: ชื่อคนที่ตั้งเป้าหมายแบบเดียวกับเรา
    3. Milestones: เป้าหมายย่อย ๆ ตามทาง
    4. Daily sacrifice: สิ่งที่เรายอมเสียสละในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในเป้าหมาย
    5. Streak: จำนวนวันที่เราสามารถเสียสละได้ติดต่อกัน

    .

    Tool #4. Daily planner: เครื่องมือช่วยวางแผนสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้เราไม่หลงทางไปจากเป้าหมายของเรา ใช้งานร่วมกับ morning ritual ในข้อถัดไป

    Daily planner มีรายละเอียดที่เราต้องการกรอกมี 8 อย่าง ได้แก่:

    1. Review eulogy: เช็กว่า เราได้อ่าน eulogy แล้ว
    2. Review vision worksheets: เช็กว่า เราได้ทบทวน visions worksheets แล้ว
    3. Review goal-setting worksheets: เช็กว่า เราได้ทบทวน goal-setting worksheet แล้ว
    4. Reflect (live day the second time technique): ตอบคำถามตัวเองว่า ถ้าเราได้ใช้ชีวิตในวันนี้เป็นครั้งที่สอง เราจะทำอะไรให้แตกต่าง/ดีขึ้นบ้าง
    5. Set primary tasks: กำหนดงานหลักที่ต้องทำในวันนี้ งานนี้ควรเป็นงานที่ตอบโจทย์เป้าหมายที่เราวางไว้ และทำให้เรื่องราวชีวิตเดินไปข้างหน้า
    6. Gratitude: เขียนสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณในชีวิต
    7. Track appointments: เขียนนัดหมายที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ เพื่อรู้ว่า วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
    8. Set secondary tasks: เขียนงานอื่น ๆ ที่ต้องทำนอกเหนือจากงานหลัก

    .

    Tool #5. Morning ritual: พิธีกรรมในช่วงเช้าที่มีเพื่อทบทวนสิ่งที่เราเขียนในเอกสารข้อ 1-4 เพื่อเป็นการเตือนความจำถึงเรื่องราวที่เราต้องการให้เกิดขึ้นในชีวิต

    โดยใน morning ritual เราจะทำตาม 4 ขั้นตอน ดังนี้:

    1. อ่าน eulogy
    2. อ่าน vision worksheets
    3. อ่าน goal-setting worksheets
    4. เขียน daily planner

    .

    สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหา tools ทั้งห้าได้ท้ายหนังสือ Hero on a Mission หรือใช้งานออนไลน์ฟรีได้ที่ heroonamission.com:

    Eulogy template บน heroonamission.com/

    🫂 Step 3. Share It With Others

    ขั้นสุดท้ายของการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย คือ การถ่ายทอดและส่งต่อประสบการณ์ให้กับคนอื่น

    ในจุดนี้ เราจะเปลี่ยนจาก hero มาเป็นบทบาทที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง นั่นคือ guide

    แม้จะเป็นบทบาทที่ดูดี แต่ hero ก็ไม่ต่างจาก victim เพราะเริ่มต้นจากความอ่อนแอ

    แต่ hero แตกต่างจาก victim ที่ยอมรับความท้าทายเพื่อได้สิ่งที่ต้องการมา และกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเดินทาง

    Guide คือ hero ที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เต็มไปด้วยประสบการณ์ ความรู้ และมุมมองที่พร้อมจะช่วย hero คนอื่นค้นพบเป้าหมายของตัวเอง

    Guide คือ hero ที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และพร้อมจะส่งต่อตำนานของตัวเองให้กับคนอื่น

    Donald Miller มองว่า guide ที่ดีมีลักษณะ 4 อย่าง:

    1. Experience: เคยผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
    2. Wisdom: เคยพบกับความล้มเหลวและก้าวผ่านมาได้
    3. Empathy: เคยผ่านความยากลำบากเช่นเดียวกับ hero ทำให้เข้าใจ hero ได้อย่างถ่องแท้
    4. Sacrifice: มีความเสียสละให้กับ hero ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ถ่ายถอดวิชาให้กับ hero หรือแม้เสียสละกระทั่งชีวิตเพื่อให้ hero อยู่รอด

    สำหรับ Donald Miller, guide คือตัวละครที่เป็นจุดสูงสุดของชีวิต และการที่เราจะเป็น guide ได้ เราจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนตัวเองจาก victim เป็น hero ก่อน

    (เลยเป็นที่มาว่า ทำไมชื่อหนังสือ ถึงไม่เป็น Guide on a Mission แต่เป็น Hero on a Mission)


    📖 What’s Your Story?

    ชีวิตของเรามีความหมาย และความหมายจะเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกที่จะเป็น hero หรือผู้เขียนเรื่องราวของเราเอง

    ความหมายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง แม้ว่าทางเดินอาจไม่ได้เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่ประสบการณ์และความเจ็บปวดที่เราได้มาจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น

    ทุกการเดินทางเริ่มจากก้าวแรก เมื่อเราก้าวขึ้นมาเป็น hero ในชีวิต ลองถามตัวเอง: “เราต้องการอะไร? และเรื่องราวของเราจะเดินไปทางไหน?”